วิธีดูแลสระว่ายน้ำให้สะอาดใสอยู่เสมอ ฉบับปี 2025

 

วิธีดูแลสระว่ายน้ำให้สะอาดใสอยู่เสมอ ฉบับปี 2025 การมีสระว่ายน้ำที่ใสสะอาดไม่เพียงช่วยให้คุณเพลิดเพลินกับการใช้งานอย่างเต็มที่ แต่ยังส่งเสริมสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ใช้งานด้วย บทความนี้จะนำเสนอเคล็ดลับในการดูแลสระว่ายน้ำให้สะอาดใสอยู่เสมอในปี 2025 โดยใช้เทคนิคและอุปกรณ์ที่ทันสมัย “วิธีดูแลสระว่ายน้ำ,” หรือ “หุ่นยนต์ทำความสะอาดสระ” เพื่อความสะดวกและประสิทธิภาพสูงสุด

 

 

1. รักษาความสมดุลของเคมีในน้ำ

  • ตรวจค่า pH และคลอรีนอย่างสม่ำเสมอ: ควรตรวจค่า pH ให้มีระดับอยู่ระหว่าง 7.2-7.8 เพื่อให้เหมาะสมต่อการใช้งานและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของคลอรีนในการฆ่าเชื้อโรคในน้ำสระ
  • เติมสารเคมีตามความจำเป็น: เช่น คลอรีน น้ำยาปรับค่า pH และน้ำยาป้องกันตะไคร่ ตรวจสอบปริมาณการเติมเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีเกินความจำเป็น
    • ใช้คลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรค

      • คลอรีนเป็นสารเคมีหลักที่ใช้ในการฆ่าเชื้อโรคในน้ำ โดยช่วยกำจัดแบคทีเรีย, ไวรัส, และสิ่งสกปรกที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
      • การเติมคลอรีนในสระควรทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาระดับของสารนี้ในน้ำให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
      • ค่า คลอรีน ควรอยู่ในช่วง 1-3 ppm (parts per million) เพื่อให้มั่นใจว่ามีความสามารถในการฆ่าเชื้อโรคได้ดี แต่ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนังและดวงตาของผู้ใช้งาน
      • การตรวจสอบค่า คลอรีน ควรทำอย่างสม่ำเสมอทุก 1-2 สัปดาห์ หรือทุกครั้งหลังการใช้สระว่ายน้ำหนัก ๆ
      • ควรเติมคลอรีนตามปริมาณที่แนะนำโดยผู้ผลิตหรือคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
      • สามารถเลือกใช้ คลอรีนชนิดผง, เม็ด, หรือแกรนูล ตามความสะดวก และสภาพของสระ
      • ควรใช้เครื่องมือที่ช่วยในการควบคุมการเติมคลอรีน เช่น ปั๊มคลอรีนอัตโนมัติ เพื่อให้การเติมสารเคมีเป็นไปอย่างแม่นยำและปลอดภัย
    • ใช้ น้ำยาปรับค่า pH เพื่อรักษาความสมดุลของน้ำ

      • ค่า pH ในสระว่ายน้ำควรอยู่ระหว่าง 7.2 – 7.8 เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานและประสิทธิภาพของสารเคมีต่าง ๆ เช่น คลอรีน
      • หากค่า pH ต่ำกว่า 7.2 (น้ำเป็นกรด) จะทำให้ผิวหนังและดวงตาของผู้ใช้งานระคายเคือง และอาจทำให้คลอรีนทำงานได้ไม่เต็มที่
      • หากค่า pH สูงกว่า 7.8 (น้ำเป็นด่าง) อาจทำให้เกิดการสะสมของแร่ธาตุในน้ำและอุปกรณ์ในสระว่ายน้ำ รวมถึงการทำงานของคลอรีนลดลง
      • ใช้น้ำยาปรับค่า pH เพิ่ม (เช่น น้ำยาปรับค่า pH ขึ้น) หากค่า pH ต่ำกว่า 7.2
      • ใช้น้ำยาปรับค่า pH ลด (เช่น กรดมะนาว หรือกรดคลอโรซัลฟูริก) หากค่า pH สูงเกินไป
      • ควรปรับค่า pH ของน้ำให้ตรงตามมาตรฐานเพื่อให้สระมีน้ำที่สะอาดและปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน
      • ควรตรวจสอบค่า pH ในสระว่ายน้ำทุก 1-2 สัปดาห์ หรือบ่อยขึ้นในช่วงที่สระมีการใช้งานมาก
      • การใช้ ชุดทดสอบน้ำ หรือ เครื่องมือวัดค่า pH จะช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบค่า pH ได้อย่างแม่นยำและสามารถปรับปรุงได้ทันเวลา
    • ใช้ น้ำยาป้องกันตะไคร่ เพื่อป้องกันการเกิดตะไคร่ในสระ

      • น้ำยาป้องกันตะไคร่ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของ ตะไคร่ และ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ที่สามารถทำให้พื้นผิวของสระลื่นและเป็นอันตรายต่อผู้ใช้งาน
      • ตะไคร่มักเกิดขึ้นในสระที่มีความชื้นสูงและการหมุนเวียนน้ำไม่ดี โดยเฉพาะในบริเวณที่มีแสงแดดจัดหรืออุณหภูมิสูง
      • การใช้ น้ำยาป้องกันตะไคร่ ช่วยลดโอกาสในการเกิดตะไคร่และรักษาน้ำในสระให้ใสสะอาด
      • ใช้ น้ำยาป้องกันตะไคร่ เช่น Cleartrine หรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่เหมาะสมตามคำแนะนำของผู้ผลิต
      • ปริมาณการเติมน้ำยาป้องกันตะไคร่จะขึ้นอยู่กับขนาดของสระและความถี่ในการใช้งาน โดยปกติแล้วจะเติมน้ำยาป้องกันตะไคร่ในช่วงที่น้ำมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดตะไคร่ เช่น ฤดูร้อนหรือช่วงที่มีฝนตกหนัก
      • ควรเติมน้ำยาป้องกันตะไคร่ลงในสระตามคำแนะนำของผู้ผลิต และอาจเติมซ้ำทุก 2-4 สัปดาห์หรือเมื่อพบว่ามีการเจริญเติบโตของตะไคร่
      • ควร ตรวจสอบ น้ำในสระเป็นประจำเพื่อดูว่ามีการสะสมของตะไคร่หรือไม่ หากพบปัญหาตะไคร่ ควรใช้ เครื่องมือทำความสะอาด เช่น แปรงขัดหรือหุ่นยนต์ทำความสะอาดเพื่อลบตะไคร่ที่ติดอยู่บนผนังและพื้นสระ
      • การใช้ น้ำยาป้องกันตะไคร่ ร่วมกับการ รักษาความสมดุลของค่า pH และการเติม คลอรีน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันตะไคร่และรักษาความสะอาดของน้ำในสระ
    • ตรวจสอบปริมาณการเติมสารเคมีให้เหมาะสมเพื่อป้องกันการใช้สารเกินความจำเป็น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานและระบบกรองน้ำ

      • ค่า pH และ ค่า chlorine เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องตรวจสอบบ่อย ๆ ค่า pH ควรอยู่ในช่วง 7.2-7.8 และค่า คลอรีน ควรอยู่ที่ 1-3 ppm เพื่อให้การทำงานของสารเคมีมีประสิทธิภาพ
      • การใช้อุปกรณ์ ชุดทดสอบน้ำ หรือ เครื่องมือวัดค่าเคมี จะช่วยให้การตรวจสอบแม่นยำ และสามารถปรับค่าได้อย่างถูกต้อง
      • ทุกครั้งที่เติมสารเคมี เช่น คลอรีน, น้ำยาปรับ pH, หรือ น้ำยาป้องกันตะไคร่ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตที่ระบุในฉลาก
      • ควรปรับปริมาณสารเคมีให้เหมาะสมกับขนาดสระและสภาพการใช้งาน เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีเกินความจำเป็น
      • การใช้ ระบบเติมสารเคมีอัตโนมัติ ช่วยให้การเติมสารเคมีเป็นไปอย่างแม่นยำและปลอดภัย โดยสามารถปรับปริมาณการเติมได้ตามค่าที่ตั้งไว้ในระบบ
      • ระบบนี้ช่วยลดความผิดพลาดในการเติมสารเคมีและลดการใช้สารเกินความจำเป็น
      • ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน: การใช้สารเคมีมากเกินไปอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและตาของผู้ใช้งาน รวมถึงอาจส่งผลให้มีอาการแพ้หรือหายใจไม่สะดวก
      • ผลกระทบต่อระบบกรองน้ำ: การใช้สารเคมีมากเกินไปอาจทำให้ระบบกรองน้ำทำงานหนักขึ้น หรือเกิดการสะสมของสารเคมีในไส้กรอง ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพการกรองน้ำและเพิ่มค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา
      • หากมีการใช้งานสระมากขึ้น เช่น ในช่วงฤดูร้อน ควรตรวจสอบและปรับปริมาณสารเคมีให้เหมาะสมตามความต้องการ
      • หากมีการฝนตกหรือมีการใช้สระน้อยลง การปรับลดการเติมสารเคมีจะช่วยรักษาความสมดุลของน้ำและป้องกันการใช้สารเคมีเกินความจำเป็น
รักษาความสมดุลของเคมีในน้ำ
รักษาความสมดุลของเคมีในน้ำ

2. ทำความสะอาดพื้นและผนังสระ

  • ใช้แปรงทำความสะอาดผนังและพื้นควรใช้แปรงทำความสะอาดพื้นและผนังสระว่ายน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการสะสมของ คราบตะไคร่ และ คราบสกปรก ที่อาจทำให้สระดูหมองคล้ำ
    • ควรใช้แปรงที่มีขนแข็งหรือแปรงสำหรับสระว่ายน้ำโดยเฉพาะ ซึ่งสามารถขัดคราบตะไคร่และคราบสกปรกที่เกาะอยู่บนพื้นและผนังของสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • ควรทำความสะอาดทุก ๆ 1-2 สัปดาห์ หรือบ่อยขึ้นหากสระมีการใช้งานบ่อยและมีการสะสมของคราบต่าง ๆ
    • ผนังสระ: ใช้แปรงขัดผนังโดยเริ่มจากด้านล่างขึ้นด้านบน เพื่อให้คราบตะไคร่และสิ่งสกปรกหลุดออกจากผนังสระ
    • พื้นสระ: ใช้แปรงขัดพื้นสระเพื่อทำให้คราบที่สะสมบนพื้นหลุดออก ซึ่งสามารถขัดไปในทิศทางเดียวกันหรือวนรอบสระ
    • การใช้แปรงทำความสะอาดเป็นประจำจะช่วยป้องกันการสะสมของตะไคร่ที่สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อสระมีความชื้นสูงและการหมุนเวียนน้ำไม่ดี
    • หากพบว่ามีตะไคร่เกาะอยู่บนผนังหรือพื้นสระ ควรใช้ น้ำยาป้องกันตะไคร่ หรือ น้ำยาฆ่าเชื้อโรค ร่วมกับการทำความสะอาดเพื่อให้สระว่ายน้ำของคุณสะอาดและปลอดภัย
    • ช่วยให้สระว่ายน้ำดูใสสะอาดและน่าสนใจ
    • ป้องกันการสะสมของตะไคร่และเชื้อโรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น
    • ทำให้ระบบกรองน้ำทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระการทำงานของตัวกรองน้ำ
  • หุ่นยนต์ทำความสะอาดสระว่ายน้ำ: หุ่นยนต์ทำความสะอาด เช่น Dolphin M500 หรือรุ่นที่ทันสมัยอื่น ๆ ช่วยลดเวลาและแรงงานในการทำความสะอาด
    • เลือกใช้ หุ่นยนต์ทำความสะอาดสระว่ายน้ำ เช่น Dolphin M500 หรือรุ่นที่ทันสมัยอื่น ๆ
    • หุ่นยนต์เหล่านี้มีเทคโนโลยีที่ช่วยทำความสะอาดพื้นและผนังสระได้อย่างล้ำลึก ลดแรงงานและเวลาในการดูแลสระ
    • คุณสมบัติพิเศษ เช่น การควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน หรือโปรแกรมตั้งเวลาทำความสะอาด ช่วยเพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพในการใช้งาน

3. ใช้ระบบกรองน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

ระบบกรองน้ำมีบทบาทสำคัญในการรักษาความสะอาดของน้ำในสระว่ายน้ำ โดยช่วยขจัดสิ่งสกปรกและอนุภาคต่าง ๆ ที่อาจทำให้สระดูหมองคล้ำ การดูแลรักษาระบบกรองน้ำให้มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาคุณภาพน้ำในสระว่ายน้ำให้ใสสะอาดเสมอ

  • ตรวจสอบและล้างไส้กรองเป็นประจำ: ควรล้างไส้กรองทุก 1-2 สัปดาห์ หรือบ่อยครั้งตามความถี่ในการใช้งาน
    • ควรตรวจสอบและล้างไส้กรองทุก 1-2 สัปดาห์ หรือบ่อยขึ้นหากสระมีการใช้งานบ่อยครั้ง
    • การล้างไส้กรองช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่สะสมจากการกรองน้ำ เช่น ฝุ่นละออง ตะไคร่ หรือเศษใบไม้ ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพของระบบกรองลดลง
    • เมื่อไส้กรองสะสมสิ่งสกปรกมากเกินไป การกรองน้ำจะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจทำให้เกิดปัญหาน้ำขุ่น
  • เปลี่ยนทรายกรอง (Sand Filter) หรือไส้กรองตามกำหนด: โดยทั่วไปควรเปลี่ยนทุก 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน
    • ทรายกรอง (Sand Filter): ทรายกรองในระบบ Sand Filter ควรเปลี่ยนทุก 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับการใช้งานและสภาพของทรายกรอง การเปลี่ยนทรายกรองจะช่วยให้ระบบกรองทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และช่วยรักษาคุณภาพน้ำในสระ
    • Cartridge Filter และ DE Filter: สำหรับระบบกรองน้ำที่ใช้ไส้กรองชนิดอื่น เช่น Cartridge Filter หรือ DE Filter ควรตรวจสอบไส้กรองและเปลี่ยนตามคำแนะนำของผู้ผลิต โดยทั่วไปจะต้องเปลี่ยนไส้กรองทุก 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับการใช้งาน
  • ข้อควรระวังในการดูแลระบบกรองน้ำ
    • หากไส้กรองมีการสะสมของสิ่งสกปรกมากเกินไป อาจทำให้ระบบกรองทำงานหนักและเพิ่มการใช้พลังงาน ดังนั้นควรตรวจสอบและดูแลระบบกรองอย่างสม่ำเสมอ
    • เมื่อทำการล้างไส้กรองหรือเปลี่ยนทรายกรอง ควรทำการบำรุงรักษาอุปกรณ์อื่น ๆ ในระบบกรอง เช่น วาล์วและท่อ เพื่อให้ระบบกรองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
  • ประโยชน์จากการดูแลระบบกรองน้ำ

    • ระบบกรองน้ำที่ได้รับการดูแลและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอจะทำงานได้มีประสิทธิภาพสูง ช่วยให้น้ำในสระว่ายน้ำใสสะอาดและปลอดภัยสำหรับการใช้งาน
    • ลดปัญหาน้ำขุ่นหรือสกปรกที่เกิดจากการกรองที่ไม่ดี และช่วยยืดอายุการใช้งานของระบบกรองน้ำ

 

ป้องกันปัญหาตะไคร่และน้ำขุ่น
ป้องกันปัญหาตะไคร่และน้ำขุ่น

4. ป้องกันปัญหาตะไคร่และน้ำขุ่น

  • ใช้น้ำยาป้องกันตะไคร่: เช่น น้ำยาป้องกันน้ำขุ่น Cleartrine ซึ่งช่วยลดการเกิดตะไคร่และทำให้น้ำใสสะอาด
    • น้ำยาป้องกันน้ำขุ่น Cleartrine: ช่วยลดการเกิดตะไคร่และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคในน้ำ ทำให้น้ำสะอาดและใสตลอดเวลา
    • การใช้อย่างเหมาะสม: ควรใช้น้ำยาในปริมาณที่แนะนำโดยผู้ผลิต เพื่อป้องกันการใช้สารเคมีเกินความจำเป็น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ใช้งานและระบบกรองน้ำ
    • คำแนะนำในการใช้: ใช้ตามสัดส่วนที่แนะนำสำหรับขนาดของสระว่ายน้ำ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและป้องกันการใช้สารเคมีมากเกินไป
  • กำจัดใบไม้และเศษขยะในน้ำ: ใช้สกิมเมอร์ (Skimmer) เพื่อดักจับสิ่งสกปรกบนผิวน้ำ
    • ใช้ สกิมเมอร์ (Skimmer) ดักจับสิ่งสกปรก เช่น ใบไม้และเศษขยะที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ
    • ควรทำความสะอาดผิวน้ำทุกวันเพื่อป้องกันสิ่งสกปรกตกลงไปในระบบกรอง
    • ดักจับสิ่งสกปรกบนผิวน้ำ: สกิมเมอร์ทำหน้าที่ดักจับสิ่งสกปรก เช่น ใบไม้ เศษขยะ หรือฝุ่นที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้สิ่งเหล่านี้ตกลงไปในน้ำและทำให้เกิดการสะสมของตะไคร่หรือสิ่งสกปรกอื่น ๆ ในระบบกรอง
    • ทำความสะอาดผิวน้ำทุกวัน: ควรทำความสะอาดผิวน้ำทุกวันหรือบ่อยครั้งตามความจำเป็น เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งสกปรกสะสมบนผิวน้ำ และไม่ทำให้ระบบกรองน้ำทำงานหนักเกินไป
    • ลดการสะสมของสิ่งสกปรกในระบบกรอง: การทำความสะอาดสิ่งสกปรกบนผิวน้ำก่อนที่จะตกลงไปในระบบกรอง จะช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์กรองและทำให้ระบบทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงสุด

5. ตรวจสอบระบบน้ำและอุปกรณ์ต่าง ๆ

  • ตรวจสอบปั๊มน้ำและระบบหมุนเวียน: ให้แน่ใจว่าระบบทำงานปกติและไม่มีการรั่วซึม
    • ควรตรวจสอบ ปั๊มน้ำ และ ระบบหมุนเวียนน้ำ ทุกเดือนเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการรั่วซึม
    • ตรวจสอบการทำงานของปั๊มให้แน่ใจว่ามีแรงดันน้ำที่เพียงพอและไม่มีเสียงผิดปกติ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการสึกหรอหรือปัญหาภายในระบบ
    • แรงดันน้ำ: ให้แน่ใจว่าปั๊มน้ำมีแรงดันน้ำที่เพียงพอสำหรับการหมุนเวียนน้ำในระบบ โดยการตรวจสอบหน้าจอแสดงผลหรือเครื่องมือวัดแรงดัน หากพบว่าแรงดันลดลงอาจแสดงถึงปัญหาภายในปั๊ม
    • เสียงผิดปกติ: ฟังเสียงของปั๊ม หากได้ยินเสียงที่ผิดปกติ เช่น เสียงดังหรือเสียงกระแทก อาจเป็นสัญญาณของปัญหาภายในปั๊ม เช่น การสึกหรอของชิ้นส่วนภายใน หรือการขัดข้องของระบบ
  • ตรวจสอบการรั่วซึม:
    • เช็คบริเวณท่อและข้อต่อ: ตรวจสอบทุกท่อและข้อต่อที่เชื่อมต่อกับปั๊มและระบบหมุนเวียนน้ำว่าไม่มีการรั่วซึม เพราะหากมีน้ำรั่วจะทำให้ระบบกรองทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
    • ทดสอบแรงดัน: หากมีการรั่วซึมในส่วนใดส่วนหนึ่งของระบบน้ำ จะทำให้แรงดันน้ำลดลง ควรตรวจสอบโดยการใช้เครื่องมือทดสอบแรงดันน้ำ
  • ทำความสะอาดส่วนที่ติดขัด:
    • หากพบว่าสารปนเปื้อนหรือเศษสิ่งสกปรกติดอยู่ในปั๊มหรือท่อ ควรทำความสะอาดเพื่อให้ระบบหมุนเวียนน้ำทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • บำรุงรักษาอุปกรณ์เป็นประจำ: เช่น หัวจ่ายน้ำ วาล์ว และอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ
    • ตรวจสอบและทำความสะอาด หัวจ่ายน้ำ และ วาล์ว เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างราบรื่น
    • ตรวจสอบอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ เช่น สกิมเมอร์, ปีกผีเสื้อ, หัวดูดน้ำ เพื่อให้แน่ใจว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงาน

6. ใช้เทคโนโลยีช่วยในการดูแลสระ

  • แอปพลิเคชันตรวจสอบคุณภาพน้ำ: แอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์น้ำช่วยให้คุณติดตามสถานะของน้ำในสระได้แบบเรียลไทม์
    • ใช้แอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อกับ เซ็นเซอร์น้ำ เพื่อ ติดตามสถานะของน้ำในสระ แบบเรียลไทม์
    • แอปพลิเคชันเหล่านี้ช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบคุณภาพน้ำ เช่น ค่า pH, คลอรีน และอุณหภูมิได้ทุกที่ทุกเวลา
    • สามารถตั้งการแจ้งเตือนเมื่อค่าของน้ำอยู่ในระดับที่ไม่เหมาะสม เพื่อให้คุณสามารถปรับปรุงสภาพน้ำได้ทันที
  • ระบบควบคุมอัตโนมัติ: เช่น ระบบเติมสารเคมีอัตโนมัติ หรือระบบหมุนเวียนน้ำอัจฉริยะ
    • ระบบ เติมสารเคมีอัตโนมัติ ช่วยให้การเติมสารเคมีในสระเป็นไปอย่างแม่นยำและสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องตรวจสอบและเติมด้วยมือ
    • ระบบหมุนเวียนน้ำอัจฉริยะ สามารถควบคุมการหมุนเวียนน้ำให้มีประสิทธิภาพสูงสุดโดยอัตโนมัติ ช่วยประหยัดพลังงานและเวลาการดูแล

7. วางแผนการบำรุงรักษาตามฤดูกาล

  • ฤดูร้อน: เพิ่มการทำความสะอาดและตรวจสอบค่าเคมีบ่อยขึ้น เนื่องจากมีการใช้งานมาก
    • เพิ่มการทำความสะอาดและตรวจสอบค่าเคมีบ่อยขึ้น เนื่องจากการใช้งานของสระจะมากขึ้นในช่วงนี้
    • ตรวจสอบ ค่า pH และ คลอรีน ทุกสัปดาห์เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำสะอาดและปลอดภัย
    • ทำความสะอาดพื้นและผนังสระ เพิ่มเติม เนื่องจากเศษสิ่งสกปรกจะสะสมมากในช่วงที่มีการใช้งานบ่อย
  • ฤดูฝน: ป้องกันน้ำฝนปนเปื้อนโดยการปิดผ้าคลุมสระ และตรวจสอบค่าความสมดุลของเคมีหลังฝนตก
    • ป้องกันน้ำฝนปนเปื้อน โดยการใช้ ผ้าคลุมสระ ป้องกันการตกของฝุ่นละอองและเศษใบไม้
    • หลังจากฝนตก ตรวจสอบค่าความสมดุลของเคมี อีกครั้ง เพราะน้ำฝนอาจทำให้ค่า pH และคลอรีนไม่สมดุล
    • ควรใช้ น้ำยาป้องกันน้ำขุ่น เพื่อป้องกันการเกิดตะไคร่ในช่วงที่มีฝนตกบ่อย
  • ฤดูหนาว: ลดการทำงานของปั๊มน้ำ แต่ยังคงดูแลให้ระบบน้ำสะอาด
    • ลดการทำงานของปั๊มน้ำ เพื่อประหยัดพลังงาน แต่ยังคงควบคุมให้ระบบหมุนเวียนน้ำทำงานเป็นระยะ
    • ตรวจสอบระบบกรองน้ำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจว่าการทำงานยังมีประสิทธิภาพ
    • ถึงแม้ว่าอุณหภูมิจะต่ำลง แต่ควรทำความสะอาดและดูแลสระอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันปัญหาความสะอาดในระยะยาว

 

ติดต่อสอบถามขอมูลเพิ่มเติมทางไลน์เลือกซื้อสินค้า

หากสนใจสั่งซื้อ อุปกรณ์สระว่ายน้ำ สามารถติดต่อ เวิลด์พูลส์ ดีเวลล็อปเมนท์ ผู้นําด้านการจําหน่าย อุปกรณ์สระว่ายน้ำทุกยี่ห้อ Emaux , Astral Pool, Hayward , Raion , Jacuzzi , Kripsol , Pool & Spa , Dolphin ด้วยความหลากหลาย Brand ของสินค้าและแต่ละประเภทของสินค้า ถังกรองสระว่ายน้ำ ปั๊มสระว่ายน้ำ เครื่องเกลือสระว่ายน้ำ ไฟใต้น้ำ Fitting อุปกรณ์ทำความสะอาดสระว่ายน้ำ เครื่องดูดตะกอนอัตโนมัติ และ เคมีสระว่ายน้ำ คลอรีน 90 % คลอรีน 70 % น้ำยากำจัดตะไคร่น้ำ Swimtrine Pooltrine  สารตกตะกอน ทำให้น้ำสระว่ายน้ำใส  สารพัดด้านเคมี เวิลด์พูลส์ ดีเวลล็อปเมนท์ พร้อมให้บริการและให้ปรึกษากับลูกค้าทุกท่าน

 

บริษัท เวิลด์พูลส์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด