ปัญหาสระว่ายน้ำสีเขียว แก้ยังไง? คู่มือฉบับละเอียดสำหรับเจ้าของสระ

สำหรับใครที่มีสระว่ายน้ำที่บ้าน โรงแรม หรือรีสอร์ท ปัญหาที่พบบ่อยที่สุดคือ น้ำในสระว่ายน้ำเปลี่ยนเป็นสีเขียว ทั้ง ๆ ที่เพิ่งทำความสะอาดหรือเติมคลอรีนไปไม่นาน ปัญหานี้ไม่เพียงทำให้สระดูไม่น่าเล่น แต่ยังบ่งบอกถึงการสะสมของเชื้อจุลินทรีย์และตะไคร่ ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพผิวหนังและดวงตาของผู้ที่ลงเล่นได้

บทความนี้จะอธิบายอย่างละเอียดถึง สาเหตุ วิธีแก้ และการป้องกันปัญหาสระว่ายน้ำเขียว ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงเทคนิคระดับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้คุณสามารถดูแลสระได้ด้วยตัวเอง และลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาระยะยาว


🌊 สาเหตุที่ทำให้น้ำสระว่ายน้ำเปลี่ยนเป็นสีเขียว

ก่อนที่เราจะลงมือแก้ไขปัญหา สิ่งสำคัญคือต้องทำความเข้าใจ สาเหตุที่แท้จริง ของน้ำสระว่ายน้ำสีเขียว โดยทั่วไปแล้ว ปัญหานี้เกิดจากการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของ ตะไคร่น้ำ (Algae Bloom) ซึ่งตะไคร่จะเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่มี แสงแดด น้ำอุ่น และสารฆ่าเชื้อไม่เพียงพอ แต่ในความจริงแล้ว ยังมีหลายปัจจัยที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ดังนี้

1. ระดับคลอรีนไม่เพียงพอ

คลอรีนถือเป็น หัวใจหลักของการดูแลสระว่ายน้ำ เพราะทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรค แบคทีเรีย และยับยั้งการเจริญเติบโตของตะไคร่น้ำโดยตรง หากระดับคลอรีนต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่ควรจะเป็น (น้อยกว่า 1 ppm) จะทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการแพร่กระจายของตะไคร่และจุลินทรีย์ต่าง ๆ ภายในเวลาอันสั้น

📉 ทำไมคลอรีนถึงลดลง?

แม้ว่าเจ้าของสระจะใส่คลอรีนเป็นประจำ แต่บางครั้งระดับคลอรีนก็ลดลงเร็วกว่าที่คิด ซึ่งมักเกิดจากสาเหตุดังนี้:

  • แสงแดด (UV): รังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์สามารถทำลายโมเลกุลของคลอรีนได้ หากสระว่ายน้ำอยู่กลางแจ้งและไม่ได้ใส่สารกันแดดคลอรีน (Stabilizer หรือ CYA: Cyanuric Acid) คลอรีนจะสลายตัวเร็วมาก

  • สิ่งสกปรกและใบไม้: อินทรียวัตถุ เช่น เศษใบไม้ ฝุ่น ดิน หรือเหงื่อของผู้เล่นสระ ล้วนทำให้คลอรีนถูกใช้ไปในการย่อยสลายสารเหล่านี้

  • จำนวนผู้ใช้งานสระ: หากมีผู้ใช้จำนวนมาก คลอรีนจะถูกใช้ไปในการฆ่าเชื้อโรคที่มาจากร่างกาย เช่น เหงื่อ เครื่องสำอาง หรือสารปนเปื้อนอื่น ๆ

  • ค่า pH ไม่เหมาะสม: หากค่า pH ของน้ำสูงเกินไป คลอรีนที่มีอยู่ก็จะไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ แม้ว่าจะมีปริมาณเพียงพอก็ตาม

📊 ค่ามาตรฐานที่ควรรักษา

  • ค่า Free Chlorine ควรอยู่ในช่วง 1–3 ppm สำหรับสระทั่วไป

  • สระที่มีผู้ใช้งานเยอะ (เช่น โรงแรม รีสอร์ท ฟิตเนส) อาจต้องคุมให้สูงขึ้นเล็กน้อยที่ 3–5 ppm

  • หากต่ำกว่าค่านี้ น้ำจะเริ่มขุ่น และมีโอกาสที่ตะไคร่จะปรากฏภายใน 1–3 วัน

⚠️ อันตรายเมื่อคลอรีนต่ำเกินไป

  • ตะไคร่น้ำเจริญเติบโต → น้ำเขียว มีกลิ่นอับ

  • เชื้อโรคสะสม → เสี่ยงต่อการติดเชื้อผิวหนัง ตาแดง ระคายเคือง

  • ประสิทธิภาพการกรองน้ำลดลง → ระบบต้องทำงานหนักขึ้น

🛠 วิธีแก้ไขระดับคลอรีนต่ำ

  1. ตรวจวัดระดับคลอรีนอย่างสม่ำเสมอ ด้วยชุดทดสอบ (Test Kit / Digital Tester) อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง

  2. เติมคลอรีนในปริมาณที่เหมาะสม:

    • คลอรีนผง (Calcium Hypochlorite)

    • คลอรีนเม็ด / ก้อน (Trichloroisocyanuric Acid – TCCA)

    • คลอรีนเหลว (Sodium Hypochlorite)

  3. ใช้สารกันแดดคลอรีน (CYA) เพื่อชะลอการสลายตัวของคลอรีนจากแดด

  4. ควบคุมค่า pH ให้อยู่ในช่วง 7.2–7.6 เพื่อให้คลอรีนทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงสุด


💡 สรุปสั้น ๆ:
การรักษาระดับคลอรีนให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันปัญหาสระน้ำเขียว เจ้าของสระควรหมั่นตรวจสอบ เติมคลอรีน และปรับสมดุลน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ตะไคร่และเชื้อโรคมีโอกาสเติบโต

2. ค่า pH และ Alkalinity ไม่สมดุล

การรักษาคุณภาพน้ำในสระว่ายน้ำไม่ได้ขึ้นอยู่กับการใส่คลอรีนเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับ สมดุลทางเคมีของน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่า pH และ ค่า Alkalinity (ความเป็นด่างรวม) ซึ่งทำหน้าที่คล้าย “ตัวควบคุม” ที่ทำให้ระบบน้ำทั้งหมดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากสองค่านี้ไม่สมดุล น้ำสระอาจจะขุ่น เขียว หรือทำให้สารเคมีที่เติมไปไม่ได้ผลเท่าที่ควร


🔹 ความสำคัญของค่า pH

  • pH (Potential of Hydrogen) คือการวัดความเป็นกรด-ด่างของน้ำ

  • ค่ามาตรฐานของน้ำสระควรอยู่ระหว่าง 7.2 – 7.6 ซึ่งถือเป็นช่วงกึ่งกลางที่เหมาะสมทั้งสำหรับคนที่ลงเล่นและสำหรับการทำงานของคลอรีน

ถ้า pH สูงเกินไป (มากกว่า 7.8)

  • คลอรีนจะสูญเสียประสิทธิภาพ → ต้องใช้ปริมาณมากขึ้นในการฆ่าเชื้อ

  • น้ำอาจขุ่นและเกิดคราบตะกรันบนผนังและพื้นสระ

  • ผู้ที่ลงเล่นอาจรู้สึกแสบตาและผิวแห้ง

ถ้า pH ต่ำเกินไป (น้อยกว่า 7.0)

  • น้ำจะมีฤทธิ์เป็นกรด กัดกร่อนอุปกรณ์สระ เช่น ปั๊ม ท่อ ทองแดง หรือโลหะในระบบกรอง

  • ผิวหนังและดวงตาของผู้ใช้สระอาจระคายเคือง

  • ระดับคลอรีนอาจผันผวน ไม่คงที่


🔹 ความสำคัญของค่า Alkalinity (ความเป็นด่างรวม)

  • Total Alkalinity (TA) คือการวัดความสามารถของน้ำในการ “ต้านทาน” การเปลี่ยนแปลงของค่า pH

  • ค่าที่เหมาะสมสำหรับสระว่ายน้ำควรอยู่ระหว่าง 80–120 ppm

ถ้า Alkalinity ต่ำเกินไป

  • ค่า pH จะเปลี่ยนแปลงขึ้นลงง่าย (pH Fluctuation)

  • ทำให้การควบคุมคุณภาพน้ำทำได้ยาก ต้องเติมสารเคมีบ่อย

ถ้า Alkalinity สูงเกินไป

  • ทำให้ pH คงที่เกินไปจนปรับยาก

  • ส่งผลให้เกิดคราบตะกรัน น้ำขุ่น และลดประสิทธิภาพของคลอรีน

  • อาจทำให้ผู้ที่เล่นสระรู้สึกไม่สบายผิว


🔹 ความสัมพันธ์ระหว่าง pH และ Alkalinity

ทั้งสองค่านี้ทำงานคู่กันเหมือน “สมดุลน้ำหนัก”

  • pH บอกว่าตอนนี้น้ำเป็นกรดหรือด่าง

  • Alkalinity เป็นตัวควบคุมไม่ให้ pH แกว่งขึ้นลงเร็วเกินไป

ตัวอย่าง:

  • ถ้า Alkalinity ต่ำ → pH จะขึ้น ๆ ลง ๆ ง่าย → น้ำเขียวเร็ว

  • ถ้า Alkalinity สูงเกิน → pH จะสูงตาม → คลอรีนทำงานไม่เต็มที่ → ตะไคร่ขึ้นง่าย

ดังนั้นการปรับสมดุลต้องทำทั้งสองค่าไปพร้อมกัน ไม่ใช่ปรับแค่ pH อย่างเดียว


🔹 วิธีแก้ไขและปรับสมดุล

  1. ถ้า pH สูงเกินไป (>7.8):

    • เติมกรด เช่น Hydrochloric Acid (HCl) หรือ กรดมะนาว (Citric Acid)

    • ตรวจวัดซ้ำหลังจากผ่านไป 4–6 ชั่วโมง

  2. ถ้า pH ต่ำเกินไป (<7.0):

    • เติม โซดาแอช (Soda Ash / Sodium Carbonate) เพื่อเพิ่ม pH

    • ตรวจซ้ำเพื่อไม่ให้ค่าแกว่งเกินไป

  3. ถ้า Alkalinity ต่ำ (<80 ppm):

    • เติม โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium Bicarbonate / Baking Soda)

    • โดยทั่วไป 1.5 กก. จะเพิ่มค่า TA ประมาณ 10 ppm ในน้ำ 50,000 ลิตร

  4. ถ้า Alkalinity สูง (>120 ppm):

    • เติมกรดอ่อน เช่น HCl ในปริมาณเล็กน้อยหลายครั้ง (ไม่ควรเติมครั้งเดียวมากเกินไป)

    • เปิดระบบกรองเพื่อช่วยกระจายสาร


🔹 เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ

  • ควรวัดค่า pH และ Alkalinity ทุกสัปดาห์ โดยใช้ Test Kit หรือ Digital Meter

  • ถ้าสระมีคนใช้งานเยอะ (เช่น โรงแรม/รีสอร์ท) → ควรตรวจ ทุกวัน

  • บันทึกผลการตรวจไว้เป็นประจำ → จะช่วยให้เห็นแนวโน้ม และปรับสารเคมีได้แม่นยำยิ่งขึ้น


✅ สรุป:
หากค่า pH และ Alkalinity ไม่สมดุล จะทำให้คลอรีนทำงานได้ไม่เต็มที่ และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ สระว่ายน้ำเขียวเร็ว การแก้ปัญหาที่ถูกต้องคือต้อง ควบคุมทั้งสองค่าไปพร้อมกัน ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเสมอ

3. ระบบกรองสระทำงานไม่เต็มที่

ระบบกรองถือเป็น หัวใจของสระว่ายน้ำ เพราะทำหน้าที่กรองสิ่งสกปรก ฝุ่น ตะกอน รวมไปถึงเศษใบไม้ขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หากระบบกรองไม่สะอาดหรือไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม น้ำในสระจะเริ่มขุ่น และในที่สุดก็จะกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของตะไคร่น้ำได้ง่ายมาก

🔹 ปัญหาที่มักเกิดขึ้นกับระบบกรอง

  1. ทรายกรองเสื่อมสภาพ

    • โดยทั่วไปทรายกรอง (Filter Sand) ควรเปลี่ยนทุก 3–5 ปี

    • หากใช้นานเกินไป ผิวของเม็ดทรายจะเรียบจนไม่สามารถดักจับสิ่งสกปรกได้เหมือนเดิม

    • ทำให้เศษตะกอนเล็ดรอดกลับเข้าสู่สระ

  2. ไม่ได้ล้างย้อน (Backwash) เป็นประจำ

    • การล้างย้อนคือการหมุนการไหลของน้ำเพื่อชะล้างสิ่งสกปรกออกจากทรายกรอง

    • หากไม่ทำเป็นประจำ ตะกอนจะอุดตัน → การไหลของน้ำช้าลง → ประสิทธิภาพการกรองลดลง

  3. ไส้กรอง (Cartridge Filter) สกปรกหรือขาดการบำรุงรักษา

    • หากไม่ได้ถอดออกมาล้างคราบหรือเปลี่ยนตามรอบ จะเกิดการอุดตันและกรองสิ่งสกปรกไม่หมด

    • บางครั้งน้ำที่ไหลผ่านกลับเข้าสระอาจมีเศษตะกอนปนออกมาอีก

  4. ปั๊มกรองทำงานไม่ครบเวลา

    • เจ้าของสระบางคนมักปิดปั๊มเพื่อลดค่าไฟ แต่จริง ๆ แล้วควรเปิดอย่างน้อยวันละ 6–8 ชั่วโมง (หรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับขนาดสระ)

    • หากน้ำไม่ถูกหมุนเวียน ตะไคร่จะเติบโตได้เร็วมาก โดยเฉพาะในมุมอับหรือก้นสระ

🔹 สัญญาณเตือนว่าระบบกรองมีปัญหา

  • น้ำในสระเริ่มขุ่นแม้จะเติมคลอรีนแล้ว

  • มีตะกอนเล็ก ๆ ลอยอยู่ตลอดเวลา

  • ความดันในเกจวัด (Pressure Gauge) สูงผิดปกติ แสดงว่ามีการอุดตัน

  • น้ำไหลเวียนช้าลง สระดู “นิ่ง” กว่าปกติ

🔹 วิธีแก้ไขและดูแลระบบกรอง

  • ล้างย้อน (Backwash) อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง หรือเมื่อค่าความดันในเกจสูงกว่าปกติ 8–10 psi

  • เปลี่ยนทรายกรองใหม่ทุก 3–5 ปี เพื่อคงประสิทธิภาพการดักจับตะกอน

  • ถอดไส้กรองออกมาล้าง ด้วยน้ำแรงดันสูง และเปลี่ยนใหม่หากสภาพเริ่มขาดหรือเปื่อย

  • ตั้งเวลาการทำงานของปั๊มกรอง ให้เหมาะกับขนาดสระ เช่น สระใหญ่ควรเปิดนานกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน

  • ใช้ สารเร่งการตกตะกอน (Clarifier) เพื่อช่วยให้ตะกอนรวมตัวและถูกกรองออกได้ง่าย


💡 เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ

หากคุณพบว่าน้ำในสระเขียวบ่อย ทั้งที่เติมคลอรีนและปรับ pH แล้ว แนะนำให้ตรวจสอบระบบกรองก่อนเป็นอันดับแรก เพราะแม้คุณจะใส่สารเคมีที่มีคุณภาพดีเพียงใด หากระบบกรองไม่ทำงานเต็มประสิทธิภาพ น้ำก็จะกลับมาขุ่นและกลายเป็นสีเขียวอีกในเวลาไม่นาน

4. สิ่งสกปรกและใบไม้สะสม

อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้น้ำในสระว่ายน้ำเปลี่ยนเป็นสีเขียว คือ สิ่งสกปรก เศษใบไม้ และฝุ่นละออง ที่ตกลงไปในน้ำ หลายคนมักคิดว่าแค่เศษเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เป็นไร แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งเหล่านี้สามารถทำให้เกิดปัญหาใหญ่ได้

ทำไมเศษใบไม้และฝุ่นจึงทำให้สระน้ำเขียว?

  • แหล่งอาหารของตะไคร่
    ใบไม้ เศษหญ้า หรือเศษดินที่ปลิวเข้ามา ล้วนมีสารอินทรีย์ เช่น ไนโตรเจนและฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของตะไคร่ในน้ำ

  • การสลายตัวของอินทรียวัตถุ
    เมื่อใบไม้และเศษสิ่งสกปรกเริ่มเน่าเปื่อย จะปล่อยสารอินทรีย์ลงในน้ำ ทำให้น้ำขุ่นและเป็นอาหารของจุลินทรีย์

  • สิ่งสกปรกสะสมในระบบกรอง
    หากปล่อยให้เศษใบไม้มากเกินไป ระบบกรองจะทำงานหนัก กรองไม่ทันหรือตัน ส่งผลให้การไหลเวียนน้ำไม่ดี และเกิดการสะสมของตะไคร่ได้ง่าย

ตัวอย่างปัญหาที่เกิดจากสิ่งสกปรกสะสม

  • สระมีกลิ่นอับ หรือกลิ่นเหม็นคล้ายบ่อที่มีน้ำขัง

  • พื้นและผนังสระเริ่มลื่นจากการเจริญของตะไคร่

  • คลอรีนหมดฤทธิ์เร็วขึ้น เพราะต้องใช้ปริมาณมากในการย่อยสลายสิ่งอินทรีย์

  • ค่า pH ของน้ำเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว คุมสมดุลน้ำได้ยากขึ้น

วิธีจัดการและป้องกัน

  1. ช้อนตักเศษใบไม้ทุกวัน
    ใช้กระชอนหรือ Skimmer ตักเศษใบไม้และสิ่งสกปรกบนผิวน้ำออกทันที จะช่วยลดอาหารของตะไคร่ได้มาก

  2. ทำความสะอาดก้นสระสม่ำเสมอ
    ใช้เครื่องดูดตะกอน (Vacuum) ดูดสิ่งที่จมอยู่ก้นสระ เช่น ดิน ทราย หรือเศษใบไม้ที่จมลงไป

  3. ดูแลระบบกรองให้สะอาด
    หาก Skimmer Basket หรือถุงกรองเต็ม ควรนำออกมาล้าง เพื่อป้องกันการอุดตัน

  4. ใช้แผ่นคลุมสระ (Pool Cover)
    โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีต้นไม้เยอะ แผ่นคลุมสระจะช่วยลดปริมาณใบไม้และฝุ่นที่ตกลงไปในน้ำ

  5. เพิ่มการหมุนเวียนน้ำ
    เปิดปั๊มกรองให้ทำงานวันละ 6–8 ชั่วโมง เพื่อให้น้ำไหลเวียนและกรองเศษสกปรกออก

เคล็ดลับเพิ่มเติม

  • หากบ้านหรือรีสอร์ทของคุณมีต้นไม้รอบสระ ควรตัดแต่งกิ่งไม้เป็นประจำ เพื่อลดปริมาณใบไม้ร่วง

  • ใช้ สาร Clarifier เดือนละครั้ง เพื่อช่วยให้ฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกจับตัวเป็นก้อนและถูกกรองออกได้ง่าย

  • ตรวจสอบตะกร้าดักเศษ (Pump Basket) ทุกสัปดาห์ เพราะเศษใบไม้ที่อุดตันจะทำให้แรงดันปั๊มตกและระบบหมุนเวียนน้ำทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ


💡 สรุปในหัวข้อนี้:
แม้เศษใบไม้หรือฝุ่นเล็กน้อยอาจดูไม่เป็นปัญหา แต่เมื่อสะสมมากขึ้นจะทำให้น้ำเสียเร็ว เป็นตัวเร่งให้เกิดตะไคร่ และเพิ่มค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา ดังนั้นการกำจัดเศษสกปรกออกจากสระทุกวันคือวิธีง่ายที่สุดในการป้องกันน้ำเขียว

5. ☀️ แสงแดดและอุณหภูมิ – ตัวเร่งการเติบโตของตะไคร่ในสระ

หลายคนอาจไม่รู้ว่า แสงแดดและความร้อนของอากาศ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้น้ำในสระเปลี่ยนเป็นสีเขียวได้ง่ายขึ้น เพราะตะไคร่เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่อาศัย การสังเคราะห์แสง (Photosynthesis) เช่นเดียวกับพืชทั่วไป เมื่อได้รับทั้ง แสงแดด + น้ำ + สารอาหารอินทรีย์ในน้ำ ก็จะขยายตัวอย่างรวดเร็ว

📌 กลไกที่เกิดขึ้น

  • เมื่อแสงแดดส่องลงไปในน้ำ → พลังงานแสงถูกใช้สร้างอาหารให้ตะไคร่

  • อุณหภูมิสูง (โดยเฉพาะ 28–32°C) → เร่งวงจรการเติบโตของตะไคร่ให้สืบพันธุ์เร็วขึ้น

  • หากในสระมีเศษใบไม้ ฝุ่น หรือค่า pH ไม่สมดุล → จะเป็นเหมือน “ปุ๋ยเสริม” ที่ทำให้ตะไคร่โตยิ่งกว่าเดิม

🕶️ ทำไมหน้าร้อนปัญหาสระเขียวถึงพบบ่อยกว่า?

  • ในฤดูร้อน แสงแดดแรงและยาวนานกว่าฤดูฝนหรือลมหนาว

  • คลอรีนในน้ำจะสลายตัวเร็วขึ้นเมื่อโดนรังสี UV จากแสงแดด

  • หากไม่ได้เติมคลอรีนเพิ่มหรือตรวจสอบคุณภาพน้ำบ่อย ๆ จะทำให้ ระดับคลอรีนต่ำกว่าที่ควร และตะไคร่ก็ใช้โอกาสนี้ในการเจริญเติบโต

💡 วิธีรับมือกับปัญหาจากแดดและอุณหภูมิ

  1. ใช้แผ่นคลุมสระ (Pool Cover) → ลดการโดนแดดโดยตรง, ป้องกันเศษใบไม้

  2. ติดตั้ง Stabilizer (Cyanuric Acid) → เป็นสารที่ช่วย “ปกป้องคลอรีน” ไม่ให้สลายเร็วจากแสงแดด

  3. เติมคลอรีนในช่วงเย็นหรือกลางคืน → ลดการสูญเสียจากรังสี UV

  4. ตั้งเวลาให้ระบบกรองทำงานนานขึ้นในหน้าร้อน → ช่วยหมุนเวียนน้ำ ป้องกันการสะสมของตะไคร่

  5. ตรวจสอบค่า pH และคลอรีนบ่อยขึ้น (2–3 ครั้ง/สัปดาห์) ในช่วงอากาศร้อน


🔍 วิธีตรวจสอบว่าทำไมน้ำสระถึงเขียว

ก่อนจะลงมือแก้ไขปัญหาสระน้ำเขียว สิ่งสำคัญที่สุดคือ การตรวจสอบคุณภาพน้ำ เพราะหากเราไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง การใส่สารเคมีหรือปรับสภาพน้ำแบบเดาสุ่ม อาจทำให้เปลืองต้นทุนโดยไม่จำเป็น และน้ำก็กลับมาเขียวอีกในเวลาไม่นาน

การตรวจสอบคุณภาพน้ำสามารถทำได้ง่าย ๆ โดยใช้ ชุดทดสอบน้ำสระว่ายน้ำ (Pool Test Kit) ซึ่งหาซื้อได้ทั่วไป ทั้งแบบ Test Strip (แถบกระดาษจุ่ม) และแบบ ชุดน้ำหยดทดสอบ (Liquid Test Kit) โดยผลที่ได้จะบอกค่าพื้นฐานสำคัญ 3 อย่าง ได้แก่ ค่า pH, ค่า Free Chlorine และค่า Alkalinity


1. วัดค่า pH ของน้ำ

  • ความหมาย: ค่า pH คือค่าความเป็นกรด-ด่างของน้ำ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของคลอรีน

  • ค่าเหมาะสม: อยู่ที่ 7.2 – 7.6

  • ถ้าสูงเกินไป (มากกว่า 7.8): คลอรีนจะทำงานได้ไม่เต็มที่ ฆ่าเชื้อได้ไม่หมด ตะไคร่จึงเจริญเติบโตได้ง่าย

  • ถ้าต่ำเกินไป (น้อยกว่า 7.0): น้ำจะมีสภาพเป็นกรด กัดกร่อนอุปกรณ์และทำให้ผิวหนัง-ดวงตาระคายเคือง

👉 ดังนั้น ก่อนแก้สระน้ำเขียว ควรปรับค่า pH ให้อยู่ในช่วงสมดุล เพื่อให้คลอรีนที่เติมลงไปทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ


2. ตรวจค่า Free Chlorine

  • ความหมาย: Free Chlorine คือปริมาณคลอรีนที่ยัง “เหลือ” ในสระและพร้อมทำงานฆ่าเชื้อ

  • ค่าเหมาะสม: อยู่ระหว่าง 1–3 ppm

  • ถ้าต่ำกว่า 1 ppm: ไม่เพียงพอในการฆ่าเชื้อโรคและยับยั้งการโตของตะไคร่ → สระเขียวง่าย

  • ถ้าสูงเกิน 5 ppm: อาจทำให้ระคายเคืองผิวหนังและมีกลิ่นคลอรีนแรงเกินไป

👉 ถ้าสระเขียว ส่วนใหญ่จะเกิดจาก คลอรีนเหลือน้อยเกินไป จึงควรช็อกคลอรีนเพื่อกำจัดตะไคร่โดยตรง


3. ตรวจค่า Alkalinity (Total Alkalinity)

  • ความหมาย: Alkalinity คือความสามารถในการต้านทานการเปลี่ยนแปลงของค่า pH หรือที่เรียกว่า Buffer

  • ค่าเหมาะสม: อยู่ที่ 80–120 ppm

  • ถ้าต่ำเกินไป: ค่า pH จะผันผวนง่าย ทำให้ควบคุมคุณภาพน้ำยาก

  • ถ้าสูงเกินไป: จะทำให้ค่า pH ค้างอยู่สูงและแก้ไขยาก

👉 Alkalinity เปรียบเหมือน “ตัวคุมเสถียรภาพ” ของน้ำ ถ้าค่านี้ไม่สมดุล การปรับค่า pH และการใช้คลอรีนก็จะไม่มีประสิทธิภาพ


📌 เคล็ดลับการตรวจคุณภาพน้ำให้แม่นยำ

  • ตรวจน้ำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือบ่อยขึ้นถ้าใช้งานสระทุกวัน

  • ควรตักน้ำตัวอย่างจากระดับ กลางสระ ไม่ใช่แค่ผิวน้ำ เพราะผลจะผิดพลาดได้

  • ใช้อุปกรณ์ทดสอบที่ยังใหม่และเก็บในที่แห้ง ไม่โดนแดด เพื่อคงคุณภาพ


📝 สรุป

หากผลการตรวจพบว่า

  • pH > 7.8 → คลอรีนทำงานไม่ได้เต็มที่

  • Free Chlorine < 1 ppm → สระเสี่ยงเขียวแน่นอน

  • Alkalinity ไม่สมดุล → ทำให้คุมค่า pH ยาก

ทั้งหมดนี้คือสัญญาณชัดเจนว่าน้ำสระของคุณไม่สมดุล และเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เกิด สระว่ายน้ำสีเขียว การตรวจสอบคุณภาพน้ำจึงเป็น “ด่านแรก” ที่สำคัญที่สุดก่อนเริ่มกระบวนการแก้ไขจริง


✅ วิธีแก้ปัญหาสระว่ายน้ำสีเขียวแบบเป็นขั้นตอน

🔹 ขั้นตอนที่ 1: ช็อกคลอรีน (Chlorine Shock)

หนึ่งในวิธีที่ได้ผลเร็วและใช้กันมากที่สุดในการแก้ปัญหาสระน้ำเขียวคือการทำ “ช็อกคลอรีน” (Chlorine Shock) หรือบางครั้งเรียกว่า Super Chlorination ซึ่งหมายถึงการเติมคลอรีนในปริมาณสูงกว่าการใช้งานปกติหลายเท่า เพื่อเร่งกำจัดเชื้อโรค แบคทีเรีย และตะไคร่น้ำที่เจริญเติบโตจนทำให้น้ำเปลี่ยนเป็นสีเขียว


🧪 หลักการของการช็อกคลอรีน

  • ในสระว่ายน้ำปกติ คลอรีนจะถูกใช้ไปเรื่อย ๆ เพื่อต่อสู้กับสิ่งสกปรก → เมื่อเหลือน้อยเกินไป จะไม่สามารถคุมการโตของตะไคร่ได้

  • การช็อกคลอรีนคือการ “เติมคลอรีนแบบเร่งด่วน” ให้ระดับ Free Chlorine พุ่งสูง (5–10 ppm) จนสามารถฆ่าตะไคร่และเชื้อโรคได้ในเวลาอันสั้น

  • หลังจากคลอรีนทำงาน น้ำจะค่อย ๆ ใสขึ้น โดยต้องใช้ระบบกรองช่วย


📌 ปริมาณการใช้คลอรีน

  • โดยทั่วไป เติม 3–5 เท่า ของปริมาณคลอรีนที่ใช้ในแต่ละวัน

  • ตัวอย่าง: หากคุณเติมคลอรีนปกติ 50 กรัม/สระ (20,000 ลิตร) → การช็อกต้องใช้ประมาณ 150–250 กรัม

  • สำหรับสระที่น้ำเขียวเข้มมาก อาจต้องใช้มากกว่านี้และทำซ้ำหลายรอบ

หมายเหตุ:

  • ใช้คลอรีนผง (Calcium Hypochlorite) หรือคลอรีนชนิดเม็ดที่มีความเข้มข้นสูง (65–70%) จะได้ผลดีที่สุด

  • ไม่ควรใช้คลอรีนเหลวความเข้มข้นต่ำ เพราะต้องใช้ปริมาณมาก


⚙️ วิธีปฏิบัติในการช็อกคลอรีน

  1. ปรับค่า pH ก่อนช็อก

    • ควรปรับให้อยู่ที่ 7.2–7.4 เพราะช่วงนี้คลอรีนทำงานได้ดีที่สุด

  2. ละลายคลอรีนในถังน้ำก่อน

    • ไม่ควรโปรยคลอรีนลงสระโดยตรง เพราะอาจเกิดตะกอนหรือทำให้พื้น/ผนังสระเป็นด่างขาว

  3. เทน้ำผสมคลอรีนรอบ ๆ สระ

    • เพื่อให้กระจายทั่วถึง

  4. เปิดปั๊มกรองให้ทำงานต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง

    • ช่วยหมุนเวียนน้ำและกรองตะไคร่ที่ตายแล้ว

  5. ตรวจวัดค่า Free Chlorine

    • ควรให้อยู่ระหว่าง 5–10 ppm หลังการช็อก


⏱ ระยะเวลารอใช้งานสระ

  • หลังจากช็อกคลอรีน ควรรอจนระดับคลอรีนลดลงมาอยู่ในช่วงปกติ (1–3 ppm) จึงจะปลอดภัยสำหรับการว่ายน้ำ

  • โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 24–48 ชั่วโมง ขึ้นกับขนาดสระและปริมาณคลอรีนที่ใส่


⚠️ ข้อควรระวัง

  • ห้ามช็อกคลอรีนตอนกลางวันที่แดดแรง → คลอรีนจะสลายเร็ว ควรทำในตอนเย็นหรือกลางคืน

  • หลีกเลี่ยงการผสมคลอรีนเข้มข้นกับสารเคมีอื่นโดยตรง เช่น กรด หรือ Algaecide เพราะอาจเกิดปฏิกิริยาอันตราย

  • ระวังการสัมผัสคลอรีนโดยตรง ควรใส่ ถุงมือ หน้ากาก และแว่นตา


👉 สรุปคือ การช็อกคลอรีนคือการ “ฟื้นฟูน้ำแบบเร่งด่วน” ที่ได้ผลดีที่สุดเมื่อสระเริ่มเขียว และควรทำควบคู่กับการปรับ pH และการล้างระบบกรองเพื่อให้ผลลัพธ์ยั่งยืน

ขั้นตอนที่ 2: ปรับค่า pH และ Alkalinity ให้สมดุล

การควบคุมค่า pH และ Alkalinity ถือเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลคุณภาพน้ำสระ เพราะค่าที่ไม่สมดุลจะส่งผลโดยตรงต่อทั้งประสิทธิภาพของสารเคมี ความใสของน้ำ และสุขภาพของผู้ที่ลงเล่น


🧪 ทำไม pH จึงสำคัญ?

  • ค่า pH ต่ำเกินไป (<7.0):
    น้ำจะมีสภาพเป็นกรด ทำให้เกิดปัญหา เช่น

    • ผิวแสบ คัน ระคายเคืองตา

    • กัดกร่อนผิวโลหะ อุปกรณ์ ปั๊ม และท่อสระ

    • กรดกัดพื้นผิวปูน ทำให้ผิวสระสึกกร่อน

  • ค่า pH สูงเกินไป (>7.8):
    น้ำจะมีสภาพเป็นด่าง ส่งผลให้:

    • คลอรีนทำงานได้ไม่เต็มที่ → ฆ่าเชื้อไม่หมด

    • น้ำขุ่น เกิดตะกรันเกาะผนังและอุปกรณ์

    • ผิวหนังและดวงตาระคายเคือง

ค่า pH ที่เหมาะสมของสระว่ายน้ำควรอยู่ระหว่าง 7.2 – 7.6 เพราะเป็นช่วงที่คลอรีนทำงานได้ดีที่สุด และยังใกล้เคียงกับค่า pH ของร่างกายมนุษย์


🧮 Alkalinity มีบทบาทอย่างไร?

Total Alkalinity (TA) คือค่าความสามารถของน้ำในการต้านทานการเปลี่ยนแปลงของ pH หากค่า TA ต่ำเกินไป pH จะ “เหวี่ยง” ขึ้นลงง่าย ทำให้ควบคุมยาก แต่ถ้า TA สูงเกินไป pH จะคงตัวเกินไปและแก้ไขยาก

  • ค่า TA ที่เหมาะสม: 80 – 120 ppm

  • ถ้า TA ต่ำ → เติม Sodium Bicarbonate (โซเดียมไบคาร์บอเนต) เพื่อปรับขึ้น

  • ถ้า TA สูง → เติมกรด เช่น Hydrochloric Acid เพื่อลดลง


⚖️ วิธีปรับสมดุล pH และ Alkalinity

  1. วัดค่า pH และ TA ด้วย Test Kit

    • ใช้ชุดทดสอบน้ำสระ (Drop Test / Strip Test)

    • บันทึกผลทุกครั้งก่อนการเติมสารเคมี

  2. ถ้า pH สูงเกินไป

    • เติม กรดไฮโดรคลอริก (HCl) หรือ กรดมะนาว (Citric Acid)

    • เติมทีละน้อย (แบ่งใส่หลายครั้ง) แล้วตรวจค่าใหม่หลัง 4–6 ชั่วโมง

  3. ถ้า pH ต่ำเกินไป

    • เติม Soda Ash (โซดาแอช) เพื่อปรับขึ้น

    • ควรละลายโซดาแอชกับน้ำก่อน แล้วค่อยเทลงรอบ ๆ สระ

  4. ถ้า TA ไม่อยู่ในเกณฑ์

    • TA ต่ำ → เติม Sodium Bicarbonate

    • TA สูง → ใช้กรดปรับลด พร้อมกับเปิดปั๊มกรองให้น้ำหมุนเวียน

  5. ตรวจซ้ำจนกว่าค่าจะเข้าสู่เกณฑ์มาตรฐาน


📌 ผลลัพธ์เมื่อปรับสมดุลได้ถูกต้อง

  • คลอรีนทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ฆ่าเชื้อโรคและตะไคร่ได้จริง

  • น้ำใสสะอาด ไม่ขุ่น ไม่เขียว

  • ผู้ที่ลงเล่นสระรู้สึกสบาย ไม่แสบตาหรือคันผิว

  • ลดปัญหาตะกรันเกาะผนังและอุปกรณ์สระ

  • ยืดอายุการใช้งานของปั๊ม กรอง และระบบท่อ


👉 ดังนั้น หากค่าที่วัดได้ไม่อยู่ในช่วงที่เหมาะสม แสดงว่าน้ำสระไม่สมดุลและเอื้อต่อการเติบโตของตะไคร่ การปรับ pH และ Alkalinity จึงเป็นเหมือน “การตั้งต้น” ที่ทำให้ขั้นตอนการแก้สระเขียวด้วยคลอรีนและสารอื่น ๆ ได้ผลจริง

🔧 ขั้นตอนที่ 3: ล้างระบบกรองและทำความสะอาด

การล้างระบบกรองถือเป็นหัวใจสำคัญในการแก้ปัญหาสระว่ายน้ำสีเขียว เพราะถึงแม้เราจะช็อกคลอรีนหรือใส่สารเคมีแล้ว แต่ถ้าระบบกรองไม่สะอาด ก็จะยังมีตะไคร่และสิ่งสกปรกหลงเหลืออยู่ในระบบ ทำให้น้ำกลับมาเขียวอีกภายในเวลาไม่นาน

3.1 ล้างย้อน (Backwash) ทรายกรองหรือไส้กรอง

  • สำหรับสระที่ใช้ทรายกรอง (Sand Filter):

    • เปิดโหมด Backwash ประมาณ 2–3 นาที จนน้ำที่ออกมาทางท่อน้ำทิ้งใส

    • จากนั้นเปลี่ยนเป็นโหมด Rinse อีก 30–60 วินาที เพื่อปรับหน้าทรายและป้องกันสิ่งสกปรกไหลย้อนกลับเข้ามาในสระ

  • สำหรับสระที่ใช้ไส้กรอง (Cartridge Filter):

    • ถอดไส้กรองออกมา ล้างด้วยน้ำแรงดันสูง

    • หากใช้มานานจนมีคราบเกาะแน่น ควรแช่ในสารทำความสะอาดกรองโดยเฉพาะ แล้วตากให้แห้งก่อนใส่กลับ

💡 ทิปส์:

  • ควรทำการ Backwash อย่างน้อย เดือนละครั้ง หรือเมื่อแรงดันในเกจ์สูงกว่าปกติ 8–10 psi

  • การล้างระบบกรองอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้การกรองมีประสิทธิภาพสูงสุด และยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์


3.2 ดูดตะกอนก้นสระออกด้วยเครื่องดูดตะกอน (Vacuum)

หลังจากตะไคร่ถูกฆ่าด้วยคลอรีนแล้ว เศษซากตะไคร่จะจมลงก้นสระ หากไม่กำจัดออก น้ำจะยังดูขุ่นเขียวและอาจเกิดการเน่าเสียได้

  • ใช้ เครื่องดูดตะกอนสระว่ายน้ำ (Pool Vacuum) เชื่อมต่อกับระบบกรอง

  • ค่อย ๆ ดูดตะกอนจากพื้นสระให้ทั่ว โดยเฉพาะมุมอับที่น้ำไม่หมุนเวียน

  • ควรทำในช่วงที่ปั๊มกรองเปิดอยู่ เพื่อให้สิ่งสกปรกถูกกรองออกทันที

💡 เคล็ดลับ:

  • ถ้าตะกอนเยอะมาก แนะนำให้ปรับวาล์วไปที่โหมด Waste เพื่อน้ำสกปรกถูกปล่อยออกนอกระบบ แทนที่จะไหลผ่านทรายกรอง (ซึ่งอาจอุดตันได้)

  • เติมน้ำสะอาดเข้ามาชดเชยในระดับที่เหมาะสมหลังจากดูดตะกอนเสร็จ


3.3 แปรงผนังและพื้นสระเพื่อลอกตะไคร่ออก

แม้จะใส่คลอรีนแล้ว แต่ตะไคร่มักเกาะแน่นอยู่ตามผนังหรือซอกมุมของสระ การแปรงพื้นและผนังจึงเป็นสิ่งสำคัญ

  • ใช้ แปรงขัดสระว่ายน้ำ ที่เหมาะกับวัสดุ (แปรงไนลอนสำหรับไวนิล / แปรงสแตนเลสสำหรับคอนกรีต)

  • ขัดตามแนวผนังและก้นสระให้ทั่ว โดยเฉพาะมุมบันได รอยต่อ และขอบสระ

  • ตะไคร่ที่ถูกขัดออกจะลอยในน้ำและถูกดูดเข้าสู่ระบบกรองหรือจมเป็นตะกอน → สามารถดูดออกได้ภายหลัง

💡 ข้อควรระวัง:

  • อย่าใช้แปรงแข็งกับสระไฟเบอร์กลาสหรือสระไวนิล เพราะอาจทำให้พื้นผิวเป็นรอย

  • ควรแปรงสระ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อป้องกันการสะสมของตะไคร่และคราบสกปรก


📌 ทำไมการทำความสะอาดระบบกรองและสระจึงสำคัญ?

  1. กำจัดแหล่งเพาะเชื้อ: หากปล่อยให้ตะไคร่เกาะผนัง ระบบกรอง และก้นสระ จะทำให้น้ำกลับมาเขียวอีกแม้ใส่คลอรีนแล้ว

  2. เพิ่มประสิทธิภาพของคลอรีน: การกำจัดเศษอินทรีย์ออก จะช่วยให้คลอรีนทำงานได้เต็มที่ ไม่ถูกสิ่งสกปรกทำให้หมดฤทธิ์เร็ว

  3. ยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์: การ Backwash และดูแลกรองเป็นประจำช่วยลดการอุดตันและยืดอายุปั๊ม-กรอง

  4. ทำให้น้ำใสจริง: ไม่ใช่แค่ฆ่าตะไคร่ แต่ยังทำให้น้ำดูใสสะอาดน่าเล่น


👉 หลังจากการ Backwash + Vacuum + แปรงผนัง ร่วมกับการปรับค่า pH และช็อกคลอรีนแล้ว คุณจะเห็นผลชัดเจนว่าน้ำที่เคยขุ่นเขียวเริ่มกลับมาใสขึ้นใน 24–48 ชั่วโมง

ขั้นตอนที่ 4: เติมสารกันตะไคร่ (Algaecide)

แม้ว่าการช็อกคลอรีนจะช่วยฆ่าตะไคร่ที่เติบโตในสระได้แล้ว แต่ปัญหาของ ตะไคร่น้ำ คือมันสามารถกลับมาได้อย่างรวดเร็วหากมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น คลอรีนตกค้างต่ำ แดดแรง หรือระบบกรองน้ำไม่สะอาด ดังนั้นเจ้าของสระควรเสริมการดูแลด้วยการใช้ สารกันตะไคร่ (Algaecide)

🔹 Algaecide คืออะไร?

  • Algaecide คือสารเคมีที่ออกแบบมาเพื่อ ยับยั้งการเจริญเติบโตของตะไคร่น้ำ ไม่ใช่สารสำหรับฆ่าตะไคร่โดยตรงแบบคลอรีน

  • หน้าที่หลักคือการสร้าง เกราะป้องกัน (Preventive) ช่วยให้ตะไคร่ไม่สามารถขยายตัวได้ง่าย

  • ใช้ร่วมกับคลอรีนจะทำให้น้ำสระสะอาดใสและลดความเสี่ยงที่สระจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอีก

🔹 ประเภทของ Algaecide

  1. Quaternary Ammonium Compounds (Quats)

    • ราคาประหยัด ใช้ง่าย

    • มีฟองค่อนข้างมาก อาจไม่เหมาะกับสระที่ใช้งานบ่อย

  2. Polyquats (Polymeric Quats)

    • ประสิทธิภาพสูงกว่า quats

    • ฟองน้อยกว่า เหมาะสำหรับสระที่มีการใช้งานต่อเนื่อง

  3. Copper-based Algaecide

    • มีทองแดง (Copper) เป็นสารออกฤทธิ์

    • ฆ่าตะไคร่ได้หลายชนิด รวมถึงตะไคร่สีดำและสีน้ำเงิน-เขียว

    • ต้องควบคุมปริมาณ เพราะถ้ามากเกินไปอาจทำให้น้ำกลายเป็นสีฟ้า-เขียวจากการสะสมของทองแดง

🔹 วิธีใช้สารกันตะไคร่ในสระว่ายน้ำ

  • เติมสารกันตะไคร่ ทุก 1–2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับการใช้งานของสระ

  • ปริมาณการใช้ขึ้นอยู่กับชนิดและความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์ (โดยทั่วไปประมาณ 30–60 มิลลิลิตร ต่อสระขนาด 10,000 ลิตร)

  • เทสารลงในน้ำโดยตรงในช่วงที่ ปั๊มกรองทำงาน เพื่อให้กระจายทั่วสระ

  • หากสระมีปัญหาตะไคร่รุนแรง ควรใช้ร่วมกับการ ช็อกคลอรีน

🔹 ข้อดีของการเติม Algaecide

  • ป้องกันการเกิดสระน้ำเขียวซ้ำ

  • ลดปริมาณการใช้คลอรีนลง เพราะคลอรีนไม่ต้องทำงานหนักเกินไป

  • รักษาความใสของน้ำได้นานขึ้น

  • ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการดูแลสระ

🔹 เคล็ดลับเพิ่มเติม

  • อย่าเติม Algaecide พร้อมกับการช็อกคลอรีนในเวลาเดียวกัน ควรทำสลับขั้นตอน เพื่อให้แต่ละสารทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

  • เลือก Algaecide ที่เหมาะกับประเภทสระ เช่น สระคอนกรีต สระไฟเบอร์ หรือสระระบบเกลือ

  • ถ้าใช้น้ำบาดาลหรือมีโลหะปนเปื้อนในน้ำมาก ควรระวังการใช้ Copper-based Algaecide เพราะอาจเกิดคราบสีบนผนังสระได้

🧾 ขั้นตอนที่ 5: ตรวจสอบคุณภาพน้ำซ้ำ (Double Check Water Quality)

หลังจากที่คุณได้ทำทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการ ช็อกคลอรีน ปรับค่า pH ล้างระบบกรอง และเติมสารกันตะไคร่ แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การตรวจสอบคุณภาพน้ำซ้ำอีกครั้ง เพราะบางครั้งการใส่สารเคมีหรือการปรับแต่งค่าอาจยังไม่เข้าสู่ระดับที่เหมาะสม 100%

1. ตรวจค่า pH

  • ค่า pH ที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 7.2 – 7.6

  • ถ้าค่า pH สูงเกินไป น้ำจะทำให้ตาและผิวหนังระคายเคือง และทำให้คลอรีนทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

  • ถ้าค่า pH ต่ำเกินไป น้ำจะกัดกร่อนผิวสระ ปั๊ม และอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้

เคล็ดลับ: ใช้ pH Test Kit หรือเครื่องทดสอบดิจิทัลจะให้ผลที่แม่นยำกว่าแบบน้ำยาหยด


2. ตรวจระดับ คลอรีน

  • ระดับคลอรีนที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 1–3 ppm สำหรับการใช้งานปกติ

  • หลังจากช็อกคลอรีน ค่ามักจะสูงเกินไป (5–10 ppm) → ต้องรอให้น้ำกลับมาสมดุลก่อนลงเล่น

  • หากค่า Free Chlorine ยังต่ำกว่ามาตรฐาน แสดงว่าตะไคร่ยังไม่ถูกกำจัดหมด หรือมีสิ่งสกปรกตกค้างในน้ำ


3. ตรวจค่า Alkalinity (ด่างรวม)

  • ค่า Alkalinity ที่เหมาะสมคือ 80–120 ppm

  • หากต่ำเกินไป pH จะขึ้นลงไม่คงที่ ทำให้ดูแลน้ำลำบาก

  • หากสูงเกินไป จะทำให้น้ำขุ่น และปรับ pH ได้ยาก


4. ตรวจค่า ความกระด้างของน้ำ (Calcium Hardness)

  • ค่านี้หลายคนมองข้าม แต่สำคัญกับอายุการใช้งานของสระ

  • หากต่ำเกินไป → น้ำกัดผิวปูนและกระเบื้อง

  • หากสูงเกินไป → เกิดคราบตะกรันและตะกอนขาวเกาะผนังสระ


5. ประเมินด้วย “สายตา” ร่วมกับการทดสอบ

  • แม้ค่าจะปกติ แต่ถ้าน้ำยังขุ่น → อาจต้องใช้ Clarifier หรือกรองซ้ำ

  • หากยังเห็นคราบเขียวตามผนังหรือพื้น → ต้องแปรงและดูดตะกอนซ้ำอีกรอบ


6. ลงบันทึกคุณภาพน้ำ (Water Log)

  • จดค่า pH, คลอรีน, Alkalinity ทุกครั้งที่ตรวจ

  • จะช่วยให้คุณมองเห็นแนวโน้ม เช่น น้ำมักจะเป็นกรดหลังฝนตก หรือ pH มักสูงขึ้นเมื่อแดดแรง

  • การบันทึกนี้ช่วยป้องกันปัญหาซ้ำ และทำให้ปรับแต่งได้ง่ายขึ้นในอนาคต


✨ ทำไมการตรวจซ้ำจึงสำคัญ?

หลายคนมักหยุดแค่การเติมสารเคมี แต่ไม่ตรวจซ้ำ ผลคือ

  • ค่าคลอรีนสูงเกินไปจนระคายเคืองตา

  • pH ไม่สมดุล ทำให้ตะไคร่กลับมาอีกในไม่กี่วัน

  • ค่า Alkalinity ไม่ถูกต้อง ทำให้ควบคุมคุณภาพน้ำได้ยาก

การตรวจซ้ำจึงเป็นเหมือน การยืนยันผลลัพธ์ ว่าทุกอย่างกลับเข้าสู่สมดุล และสระว่ายน้ำพร้อมใช้งานอย่างปลอดภัยจริง ๆ


👉 ขั้นตอนนี้เปรียบเสมือน Final Check Point ของการบำรุงรักษา ถ้าคุณทำครบและตรวจซ้ำทุกครั้ง ปัญหาสระว่ายน้ำเขียวจะลดลงอย่างชัดเจน และช่วยยืดอายุการใช้งานของสระได้อีกหลายปี


🧪 เทคนิคเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญ

นอกจากการแก้ปัญหาด้วยการช็อกคลอรีนและปรับสมดุลน้ำแล้ว ยังมีเทคนิคระดับผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยให้การดูแลสระว่ายน้ำมีประสิทธิภาพมากขึ้น ป้องกันไม่ให้สระกลับมาเขียวซ้ำ และยังช่วยลดเวลา–แรงงานในการดูแลในระยะยาว


1. ใช้ Clarifier (สารเร่งการตกตะกอน)

หลังการช็อกคลอรีน หลายครั้งน้ำในสระยังคงขุ่น เนื่องจากมีตะกอนเล็ก ๆ ที่เล็กเกินไปสำหรับระบบกรองทั่วไป Clarifier จะช่วยรวมตะกอนขนาดเล็กให้จับตัวกันเป็นก้อนใหญ่ขึ้น ทำให้ระบบกรองสามารถดักจับออกไปได้ง่าย

ข้อดีของการใช้ Clarifier

  • ทำให้น้ำใสขึ้นภายในเวลาไม่นาน (12–24 ชั่วโมง)

  • ลดความเสี่ยงที่ต้องเปลี่ยนน้ำทั้งสระ

  • ช่วยให้การทำงานของระบบกรองมีประสิทธิภาพมากขึ้น

คำแนะนำในการใช้

  • เติมสาร Clarifier ตามปริมาณที่ระบุในฉลาก (มักอยู่ที่ 30–60 ml ต่อ 10,000 ลิตรน้ำ)

  • เปิดปั๊มกรองหมุนเวียนอย่างต่อเนื่องหลังเติม

  • เหมาะสำหรับกรณีที่น้ำ “ใสไม่พอ” หลังแก้ปัญหาสระเขียว


2. ติดตั้ง ระบบเกลือ (Salt Chlorinator)

Salt Chlorinator คืออุปกรณ์ที่เปลี่ยนเกลือโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ให้กลายเป็นคลอรีนแบบอัตโนมัติผ่านกระบวนการ Electrolysis ซึ่งจะช่วยรักษาระดับคลอรีนในสระให้คงที่ตลอดเวลา

ข้อดีของระบบเกลือ

  • ลดการเติมคลอรีนเคมีแบบผงหรือเม็ดบ่อย ๆ

  • น้ำในสระจะนุ่มต่อผิวและไม่มีกลิ่นฉุนแรงเหมือนการใช้คลอรีนปริมาณสูง

  • ช่วยประหยัดเวลาในการดูแลสระระยะยาว

  • ปลอดภัยกว่าสำหรับเด็กและผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย

เหมาะสำหรับ:

  • บ้านที่มีสระว่ายน้ำส่วนตัว

  • โรงแรมหรือรีสอร์ทที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาระยะยาว


3. ใช้ แผ่นคลุมสระ (Pool Cover)

แผ่นคลุมสระเป็นอุปกรณ์ที่มักถูกมองข้าม แต่จริง ๆ แล้วช่วยลดโอกาสที่สระจะกลายเป็นสีเขียวได้อย่างมาก

ประโยชน์หลักของแผ่นคลุมสระ

  • ป้องกันเศษใบไม้ ฝุ่นละออง และสิ่งสกปรกไม่ให้ตกลงไปในน้ำ

  • ลดการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง → ช่วยชะลอการเจริญเติบโตของตะไคร่

  • ลดการระเหยของน้ำ ทำให้ประหยัดค่าน้ำและสารเคมี

  • ช่วยรักษาอุณหภูมิของน้ำ (ในบางรุ่นที่เป็นแบบ Solar Cover)

เคล็ดลับการเลือก Pool Cover

  • ถ้าต้องการใช้งานง่าย → เลือกแบบม้วนเก็บอัตโนมัติ

  • ถ้าต้องการประหยัด → ใช้แบบพลาสติกคลุมทั่วไปก็เพียงพอ


4. เพิ่ม การหมุนเวียนน้ำ (Water Circulation)

น้ำในสระที่นิ่งเกินไปจะทำให้เกิดจุดอับ ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของตะไคร่และสิ่งสกปรก ดังนั้นการตั้งเวลาให้ปั๊มกรองทำงานอย่างเหมาะสมถือเป็นหัวใจสำคัญ

คำแนะนำในการตั้งเวลา:

  • เปิดปั๊มกรอง วันละ 6–8 ชั่วโมง สำหรับสระทั่วไป

  • หากสระมีผู้ใช้งานบ่อย ควรเปิดนานขึ้น 8–12 ชั่วโมง

  • ตั้งเวลาเปิดเป็นรอบ ๆ เช่น เช้า 3 ชั่วโมง เย็น 3 ชั่วโมง เพื่อให้การหมุนเวียนมีประสิทธิภาพตลอดวัน

ผลลัพธ์ที่ได้:

  • คลอรีนกระจายทั่วถึงทั้งสระ

  • ลดการเกิดน้ำขุ่นและคราบตะกอน

  • ป้องกันไม่ให้เกิด “น้ำเขียวซ้ำ” แม้ในฤดูร้อนที่แดดแรง


✨ สรุปเทคนิคเพิ่มเติม

  • Clarifier → ช่วยให้น้ำใสเร็วขึ้นหลังแก้ปัญหา

  • Salt Chlorinator → ระบบดูแลคลอรีนอัตโนมัติ ลดภาระเจ้าของสระ

  • Pool Cover → กันเศษใบไม้ ฝุ่น และชะลอการโตของตะไคร่

  • Water Circulation → เปิดปั๊มกรองให้เหมาะสมเพื่อให้น้ำหมุนเวียนต่อเนื่อง

การใช้เทคนิคเหล่านี้ควบคู่กับการตรวจสอบคุณภาพน้ำประจำ จะช่วยให้สระว่ายน้ำของคุณใสสะอาด ดูแลรักษาง่าย และลดความเสี่ยงจากปัญหาสระเขียวซ้ำซ้อน


💡 วิธีป้องกันปัญหาสระน้ำเขียวในระยะยาว

คำพูดที่ว่า “การป้องกันง่ายกว่าการแก้ไข” ใช้ได้เสมอสำหรับการดูแลสระว่ายน้ำ หากเรามีการตรวจสอบและบำรุงรักษาเป็นประจำ จะช่วยให้ปัญหาน้ำสระเขียวไม่กลับมาอีก และยังช่วยประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาใหญ่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เจ้าของสระจึงควรใส่ใจใน 5 เรื่องสำคัญดังต่อไปนี้


1. ตรวจค่า pH และคลอรีนทุกสัปดาห์

การตรวจวัดคุณภาพน้ำเป็นหัวใจหลักในการดูแลสระว่ายน้ำ ค่า pH ที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 7.2–7.6 ส่วนคลอรีนควรอยู่ในระดับ 1–3 ppm หากค่า pH สูงเกินไป คลอรีนจะทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้ตะไคร่เจริญเติบโตได้ง่าย ในทางกลับกัน หาก pH ต่ำเกินไป น้ำจะมีความเป็นกรดสูง เสี่ยงต่อการกัดกร่อนพื้นผิวสระและอุปกรณ์
👉 การใช้ Test Kit หรือ Digital Pool Tester เป็นประจำ จะช่วยให้คุณรู้สถานะของน้ำได้แบบเรียลไทม์ และแก้ไขได้ทันท่วงที


2. เติมคลอรีนสม่ำเสมอให้ระดับอยู่ในช่วงที่เหมาะสม

แม้จะตรวจสอบค่าแล้ว การเติมคลอรีนอย่างต่อเนื่องก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น เพราะคลอรีนจะถูกแดดเผา (UV) และระเหยไปเรื่อย ๆ หากปล่อยให้คลอรีนต่ำกว่ามาตรฐาน สระน้ำจะกลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคและตะไคร่
👉 คำแนะนำคือ เติมคลอรีนวันเว้นวัน หรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง ขึ้นอยู่กับการใช้งานสระ และควรใช้ร่วมกับ Stabilizer (Cyanuric Acid) เพื่อช่วยยืดอายุคลอรีน ไม่ให้สลายเร็วเกินไปเมื่อโดนแสงแดดจัด


3. ทำความสะอาดเศษใบไม้ทุกวัน

ใบไม้ ดอกไม้ ฝุ่น และแมลงที่ตกลงสระ เป็นอาหารอย่างดีของตะไคร่ หากไม่ได้เก็บออกทุกวัน ของเสียอินทรีย์เหล่านี้จะเน่าและปลดปล่อยสารที่ส่งเสริมการเติบโตของจุลินทรีย์
👉 ควรใช้ ตะแกรงตักผิวน้ำ (Leaf Skimmer) ตักออกเป็นประจำ และหากบ้านคุณมีต้นไม้รอบสระ ควรพิจารณาใช้ ผ้าคลุมสระ (Pool Cover) เพื่อลดปัญหาสิ่งสกปรกตกลงสระในแต่ละวัน


4. ล้างกรองน้ำอย่างน้อยเดือนละครั้ง

ระบบกรองเป็นหัวใจที่ทำให้สระใสสะอาด หากไม่ล้างหรือ Backwash บ่อยพอ ไส้กรองและทรายกรองจะเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก ทำให้ประสิทธิภาพลดลง และน้ำเริ่มขุ่นเขียวได้ง่าย
👉 คำแนะนำคือ

  • ทรายกรอง (Sand Filter) → Backwash อย่างน้อยเดือนละครั้ง และเปลี่ยนทรายทุก 3–5 ปี

  • ไส้กรองตลับ (Cartridge Filter) → ล้างทุก 2–4 สัปดาห์ และเปลี่ยนใหม่เมื่อเสื่อมสภาพ

  • Diatomaceous Earth (DE Filter) → ล้างบ่อยกว่าแบบอื่นเพราะละเอียดมาก

การดูแลระบบกรองอย่างต่อเนื่องจะช่วยประหยัดคลอรีนและลดโอกาสตะไคร่ได้มาก


5. เติมสารกันตะไคร่ (Algaecide) ทุก 2–3 สัปดาห์

แม้คลอรีนจะช่วยควบคุมเชื้อโรคและแบคทีเรีย แต่ตะไคร่บางชนิดสามารถดื้อคลอรีนได้ การใช้ Algaecide เป็นตัวช่วยป้องกันตะไคร่ถือเป็นวิธีที่คุ้มค่า โดยควรเติมทุก 2–3 สัปดาห์ในปริมาณที่ผู้ผลิตแนะนำ
👉 หากสระคุณอยู่กลางแจ้งหรือใช้งานบ่อย ควรเลือก Algaecide สูตรเข้มข้น (Concentrated) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกัน


✨ สรุปการดูแลเชิงป้องกัน

การป้องกันสระน้ำเขียวในระยะยาวไม่ใช่เรื่องยาก หากคุณทำตาม 5 ข้อนี้อย่างสม่ำเสมอ:

  1. ตรวจค่า pH และคลอรีนทุกสัปดาห์

  2. เติมคลอรีนให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม

  3. เก็บเศษใบไม้ทุกวัน

  4. ล้างกรองน้ำอย่างน้อยเดือนละครั้ง

  5. เติมสารกันตะไคร่ทุก 2–3 สัปดาห์

เมื่อทำเป็นกิจวัตร คุณจะพบว่าสระของคุณใสสะอาดตลอดเวลา ไม่ต้องเสียเงินและเวลาไปกับการแก้ปัญหาน้ำเขียวซ้ำ ๆ อีกต่อไป


🏊 กรณีศึกษา: แก้ปัญหาสระเขียวในรีสอร์ท

รีสอร์ทขนาดกลางแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ มีสระว่ายน้ำกลางแจ้งสำหรับแขกที่มาพัก ซึ่งถือเป็นจุดขายสำคัญ เพราะแขกจำนวนมากเลือกที่พักจากสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสระน้ำ แต่รีสอร์ทนี้ต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่มานานหลายเดือน คือ น้ำในสระเปลี่ยนเป็นสีเขียวทุก ๆ 2–3 สัปดาห์

🔎 การตรวจสอบปัญหา

แม้ว่าทางรีสอร์ทจะใส่คลอรีนอย่างสม่ำเสมอ แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ได้ช่วยให้น้ำใสอยู่ตลอด ทีมงานผู้ดูแลจึงตัดสินใจตรวจสอบอย่างละเอียด และพบข้อบกพร่องดังนี้:

  1. ค่า pH สูงกว่า 8.0

    • เมื่อตรวจด้วย Test Kit พบว่าค่า pH สูงมาก ส่งผลให้ประสิทธิภาพของคลอรีนลดลง คลอรีนที่เติมลงไปจึงไม่สามารถฆ่าเชื้อและยับยั้งตะไคร่ได้เต็มที่

  2. ระบบกรองไม่ได้ Backwash มานาน

    • ระบบกรองทรายถูกใช้งานต่อเนื่องโดยไม่ได้ล้างย้อน ทำให้ประสิทธิภาพการกรองลดลง ตะกอนเล็ก ๆ และเศษอินทรีย์สะสมในสระ

  3. ไม่มีการใช้ Algaecide

    • การพึ่งพาคลอรีนเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอในสภาพอากาศร้อนและแดดแรงของเชียงใหม่ ตะไคร่จึงกลับมาเติบโตอย่างรวดเร็ว


🛠 แนวทางการแก้ไข

หลังจากระบุสาเหตุได้ ทีมผู้ดูแลได้วางแผนปรับปรุงอย่างเป็นระบบตามขั้นตอนดังนี้:

  1. ปรับค่า pH ลงมาอยู่ที่ 7.4

    • ใช้กรดมะนาว (Citric Acid) ผสมกับน้ำแล้วค่อย ๆ เติมลงในสระ

    • ทำให้ค่าพีเอชกลับเข้าสู่ช่วงที่เหมาะสม (7.2–7.6) ซึ่งเป็นจุดที่คลอรีนออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด

  2. ช็อกคลอรีน 3 เท่าจากปกติ

    • เติมคลอรีนผงในปริมาณสูง เพื่อฆ่าเชื้อโรคและตะไคร่ที่สะสม

    • เปิดระบบกรองน้ำหมุนเวียนต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง เพื่อให้คลอรีนกระจายทั่วทั้งสระ

  3. เติม Algaecide และ Clarifier

    • Algaecide ทำหน้าที่หยุดการเจริญเติบโตของตะไคร่ในระยะยาว

    • Clarifier ช่วยเร่งการตกตะกอนของเศษตะไคร่และสิ่งสกปรก ทำให้น้ำกลับมาใสเร็วขึ้น

  4. ตั้งเวลาให้ปั๊มกรองทำงานวันละ 8 ชั่วโมง

    • ก่อนหน้านี้ปั๊มทำงานเพียง 4 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับสระกลางแจ้ง

    • การเพิ่มเวลาเดินเครื่องช่วยให้มีการหมุนเวียนของน้ำอย่างเหมาะสม ป้องกันไม่ให้น้ำหยุดนิ่งจนตะไคร่เจริญเติบโต


📈 ผลลัพธ์หลังการแก้ไข

หลังจากทำตามขั้นตอนข้างต้นเพียง 3 วัน น้ำที่เคยเป็นสีเขียวเริ่มกลับมาใส และภายใน 1 สัปดาห์ สระว่ายน้ำก็กลับมามีสภาพสมบูรณ์ แขกที่มาพักสามารถลงเล่นได้โดยไม่ต้องกังวล

สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ ผลลัพธ์ในระยะยาว

  • ตลอด 3 เดือนหลังการปรับปรุง สระว่ายน้ำยังคงใสสะอาด ไม่เกิดการเปลี่ยนเป็นสีเขียวอีก

  • ค่าใช้จ่ายด้านสารเคมีลดลงกว่า 20% เพราะไม่ต้องเติมคลอรีนในปริมาณมากเกินไป

  • แขกที่เข้าพักให้คะแนนรีวิวสูงขึ้น โดยเฉพาะในเรื่อง “สระว่ายน้ำสะอาด”


💡 บทเรียนที่ได้จากกรณีนี้

  1. การควบคุมค่า pH สำคัญมาก แม้จะเติมคลอรีน แต่ถ้าพีเอชไม่สมดุล คลอรีนก็แทบไม่มีประสิทธิภาพ

  2. ระบบกรองคือหัวใจของสระ หากไม่ดูแลสม่ำเสมอ ปัญหาจะกลับมาไม่รู้จบ

  3. อย่าพึ่งสารเคมีชนิดเดียว ควรใช้ Algaecide และ Clarifier ร่วมด้วยเพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน

  4. การหมุนเวียนของน้ำมีผลโดยตรง น้ำที่นิ่งคือตัวกระตุ้นให้ตะไคร่โตเร็ว


👉 กรณีศึกษานี้สะท้อนให้เห็นว่า การแก้ปัญหาสระน้ำเขียวไม่ใช่การใช้สารเคมีแบบใส่ครั้งเดียวแล้วจบ แต่คือการ จัดการคุณภาพน้ำอย่างสมดุล และมีระบบบำรุงรักษาที่ต่อเนื่อง


📊 ตารางสรุป: วิธีแก้ปัญหาสระว่ายน้ำเขียว (ฉบับละเอียด)

ปัญหา สาเหตุที่แท้จริง วิธีแก้ไขที่แนะนำ เคล็ดลับป้องกันในอนาคต
คลอรีนต่ำ – เติมคลอรีนไม่สม่ำเสมอ
– ใช้สระบ่อย มีผู้เล่นจำนวนมาก
– แสงแดดทำให้คลอรีนระเหย
– ทำการ ช็อกคลอรีน (Chlorine Shock) โดยเติมคลอรีนในปริมาณสูงกว่าปกติ 3–5 เท่า
– เปิดระบบกรองน้ำอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
– เติมคลอรีนสม่ำเสมอให้ค่าอยู่ที่ 1–3 ppm
– ใช้ Stabilizer (Cyanuric Acid) ป้องกันคลอรีนสลายเร็วจากแดด
pH สูงเกินไป (>7.8) – เติมโซดาแอชมากเกิน
– น้ำประปา/น้ำบาดาลมีค่า pH สูง
– เติม Hydrochloric Acid หรือ กรดมะนาว (Citric Acid) เพื่อลดค่า pH ลงมาที่ 7.2–7.6 – ตรวจวัดค่า pH อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
– ใช้สารปรับสมดุล (pH Minus) แทนการกะประมาณด้วยกรดเข้มข้น
น้ำขุ่นหลังแก้ไข – ตะกอนตะไคร่และสิ่งสกปรกยังคงลอยในน้ำ
– กรองไม่สามารถดักจับได้หมด
– เติม Clarifier (สารเร่งการจับตะกอน) เพื่อรวมตัวฝุ่นและตะไคร่ให้ตกตะกอนลงพื้น
– ดูดตะกอนออกด้วย Vacuum
– ใช้ Clarifier เดือนละครั้งเพื่อช่วยให้น้ำใสอยู่เสมอ
– ตรวจสอบและล้างไส้กรอง/ทรายกรองสม่ำเสมอ
ตะไคร่กลับมาเร็ว – คลอรีนในสระไม่คงที่
– มีแดดแรง กระตุ้นการเติบโตของตะไคร่
– ไม่มีการใช้สารยับยั้งตะไคร่
– เติม Algaecide (สารป้องกันตะไคร่) ควบคู่กับการช็อกคลอรีน – เติม Algaecide ทุก 2–3 สัปดาห์
– ใช้ผ้าใบคลุมสระเพื่อลดแสงแดดและเศษใบไม้
ระบบกรองไม่สะอาด – ไม่ได้ทำ Backwash มานาน
– ทรายกรองเสื่อมสภาพ
– ไส้กรองตัน
– ล้างย้อน (Backwash) ระบบกรองทันที
– หากยังไม่ดีขึ้น ควรเปลี่ยนทรายกรองหรือไส้กรองใหม่
– ทำ Backwash อย่างน้อยเดือนละครั้ง
– เปลี่ยนทรายกรองทุก 3–5 ปี ตามการใช้งาน

🔎 อธิบายเพิ่มเติมจากตาราง

  • การแก้สระว่ายน้ำเขียว ไม่ใช่เพียงการใส่คลอรีนเพิ่ม แต่ต้องทำอย่างเป็นระบบ: ตรวจสอบค่าเคมี, ล้างระบบกรอง, และใช้สารเคมีเสริมอย่าง Clarifier หรือ Algaecide

  • เจ้าของสระหลายคนมักพลาดตรงที่ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ไม่ป้องกันระยะยาว ทำให้สระกลับมาเขียวซ้ำ ๆ

  • หากดูแลตามแนวทางในตาราง จะช่วยยืดอายุการใช้งานของน้ำในสระได้หลายเดือน และลดต้นทุนการบำรุงรักษาในภาพรวม


📌 สรุป

สระว่ายน้ำสีเขียว เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในสระว่ายน้ำทั้งในบ้าน โรงแรม และรีสอร์ท หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องซับซ้อนและต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการแก้ไข แต่จริง ๆ แล้ว หากเราเข้าใจ สาเหตุที่แท้จริง และลงมือแก้ไขอย่างถูกวิธี ปัญหานี้สามารถจัดการได้ไม่ยากเลย

ขั้นตอนสำคัญที่เจ้าของสระทุกคนควรรู้ ได้แก่:

  1. การช็อกคลอรีน → เป็นการเพิ่มปริมาณคลอรีนมากกว่าปกติ เพื่อกำจัดตะไคร่และเชื้อโรคที่เติบโตในน้ำ

  2. การปรับค่า pH และ Alkalinity → เพื่อให้คลอรีนทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และรักษาสมดุลของน้ำ

  3. การล้างระบบกรองและดูดตะกอน → ช่วยกำจัดสิ่งสกปรกที่เป็นอาหารของตะไคร่ และทำให้น้ำใสสะอาดยาวนาน

  4. การเติมสารกันตะไคร่ (Algaecide) → ป้องกันการเกิดซ้ำ และลดโอกาสที่น้ำจะกลับมาเขียวอีก

  5. การดูแลคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง → ตรวจสอบค่า pH, คลอรีน และทำความสะอาดสระเป็นประจำ เพื่อไม่ให้เกิดการสะสมของตะไคร่

เมื่อทำครบทั้ง 5 ขั้นตอนนี้อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้สระว่ายน้ำกลับมา ใส สะอาด ปลอดภัย และพร้อมใช้งาน อยู่เสมอ


🌟 ประโยชน์จากการแก้ปัญหาอย่างถูกวิธี

  • ยืดอายุการใช้งานของระบบกรองน้ำ → ระบบไม่ต้องทำงานหนักเกินไป และไม่เสื่อมสภาพเร็ว

  • ลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว → ป้องกันไม่ต้องซื้อสารเคมีหรืออุปกรณ์ใหม่บ่อย ๆ

  • เพิ่มความมั่นใจให้ผู้ใช้งานสระ → ไม่ต้องกังวลเรื่องผิวหนังระคายเคือง หรือการติดเชื้อจากน้ำไม่สะอาด

  • เสริมภาพลักษณ์สำหรับธุรกิจ → หากเป็นสระของรีสอร์ท โรงแรม หรือฟิตเนส การมีน้ำใสสะอาดคือปัจจัยสำคัญที่สร้างความประทับใจให้ลูกค้า


💡 เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับเจ้าของสระ

  • จัดทำ ตารางตรวจสอบคุณภาพน้ำประจำสัปดาห์

  • ใช้ อุปกรณ์ทดสอบน้ำ เพื่อดูค่าคลอรีนและ pH อย่างสม่ำเสมอ

  • ลงทุนใน เครื่องผลิตคลอรีนเกลือ (Salt Chlorinator) สำหรับสระที่ใช้งานบ่อย

  • ใช้ แผ่นคลุมสระ (Pool Cover) ลดการสะสมของฝุ่นและใบไม้ รวมถึงช่วยประหยัดสารเคมี

 

  • Anti-rust น้ำยาจำกัดสนิมเหล็กในสระว่ายน้ำ


    Quick View

  • Super pH Plus, อุปกรณ์สระว่ายน้ำ,ปั้มสระว่ายน้ำ,สระว่ายน้ำ,สร้างสระว่ายน้ำ


    Quick View

  • คลอรีน 90% สำหรับสระว่ายน้ำ (แบบผง) ขนาด 50 Kg


    Quick View

  • คลอรีน 90% ACHLOR PLUS(เม็ด) 50Kg_done


    Quick View

  • คลอรีนก้อน 90% ผสมคอปเปอร์ซัลเฟต, ถังกรองสระว่ายน้ำ,อุปกรณ์สระว่ายน้ำ,ปั้มสระว่ายน้ำ, สระว่ายน้ำ ,สร้างสระว่ายน้ำ


    Quick View

  • ชุดอุปกรณ์ทำความสะอาดสระว่ายน้ำ Astral Pool Cleaning Kits


    Quick View

  • -41%

    ถังกรองทราย Emaux MFV Series (Top Mount)


    Quick View

    (0)

    ถังกรองทราย Emaux MFV Series (Top Mount)

    Price range: 6,400 ฿ through 20,400 ฿

  • น้ำยากำจัดตะไคร่น้ำ Swimtrine Plus


    Quick View

  • น้ำยาป้องกันน้ำขุ่น Cleartrine


    Quick View

  • น้ำยาป้องกันน้ำขุ่น น้ำเขียว Pooltrine


    Quick View

  • น้ำยาเร่งตกตะกอน Speed flocc ขนาด 1 Kg


    Quick View

  • น้ำยาเร่งตกตะกอน Speed flocc


    Quick View

  • -6%

    หุ่นยนต์ทำความสะอาดสระว่ายน้ำ ไร้สาย Dolphin LIBERTY 400


    Quick View

    (0)

    หุ่นยนต์ทำความสะอาดสระว่ายน้ำ ไร้สาย Dolphin LIBERTY 400

    Original price was: 77,000 ฿.Current price is: 72,000 ฿.

  • -18%

    Dolphin M400


    Quick View

    (0)

    หุ่นยนต์ทำความสะอาดสระว่ายน้ำอัตโนมัติ DOLPHIN M400

    Original price was: 78,000 ฿.Current price is: 64,100 ฿.

  • -7%

    M600 1


    Quick View

    (0)

    หุ่นยนต์ทำความสะอาดสระว่ายน้ำอัตโนมัติ DOLPHIN M600

    Original price was: 98,440 ฿.Current price is: 91,900 ฿.

  • -8%

    หุ่นยนต์ทำความสะอาดสระว่ายน้ำ Dolphin รุ่น M700,Dolphin, ถังกรองสระว่ายน้ำ,อุปกรณ์สระว่ายน้ำ,ปั้มสระว่ายน้ำ,สระว่ายน้ำ,สร้างสระว่ายน้ำ


    Quick View

    (0)

    หุ่นยนต์ทำความสะอาดสระว่ายน้ำอัตโนมัติ DOLPHIN M700

    Original price was: 127,330 ฿.Current price is: 117,700 ฿.

 

🎯 บทส่งท้าย

ท้ายที่สุด การแก้ปัญหาสระว่ายน้ำสีเขียวไม่ใช่แค่เพื่อความสวยงาม แต่คือ การลงทุนด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และความคุ้มค่า ของผู้ใช้งานทุกคน หากเจ้าของสระใส่ใจและดูแลอย่างต่อเนื่อง คุณจะไม่เพียงได้สระที่ใสสะอาดน่าเล่น แต่ยังช่วยให้ระบบทั้งหมดทำงานได้มีประสิทธิภาพยาวนาน ลดต้นทุนการซ่อมแซม และมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับทุกคนที่ลงเล่นในสระน้ำของคุณ

ไลน์คอนแทคร้านค้า 03

หากคุณกำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญในการสร้างสระว่ายน้ำที่มีประสบการณ์และน่าเชื่อถือ และดูแลเราพร้อมให้คำแนะนำและบริการครบวงจรตั้งแต่การออกแบบ ก่อสร้าง ไปจนถึงการดูแลรักษาสระ เพื่อให้คุณได้สระว่ายน้ำที่สมบูรณ์แบบและใช้งานได้อย่างคุ้มค่า ติดต่อเราวันนี้เพื่อรับคำปรึกษาฟรี!

บริษัท เวิลด์พูลส์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด