น้ำยาป้องกันน้ำขุ่น Cleartrine คืออะไร? วิธีทำให้น้ำในสระใสปิ๊งตลอดเวลา

ปัญหา “น้ำสระว่ายน้ำขุ่น” เป็นสิ่งที่เจ้าของสระหลายคนเจอกันอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นสระบ้าน สระรีสอร์ท หรือสระสาธารณะ ปัญหานี้ไม่เพียงทำให้สระดูไม่น่าใช้งาน แต่ยังส่งผลต่อสุขอนามัยและความปลอดภัยของผู้ว่ายน้ำอีกด้วย หนึ่งในตัวช่วยที่ได้รับความนิยมคือ น้ำยาป้องกันน้ำขุ่น Cleartrine ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อทำให้น้ำในสระกลับมาใสสะอาดอย่างรวดเร็ว

บทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จักว่า Cleartrine คืออะไร ทำงานอย่างไร วิธีใช้ที่ถูกต้อง และทำไมเจ้าของสระควรมีติดไว้เสมอ


น้ำยาป้องกันน้ำขุ่น Cleartrine คืออะไร?

Cleartrine คือสารเคมีบำรุงรักษาน้ำในสระว่ายน้ำที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาน้ำขุ่นโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำส่วนตัว สระรีสอร์ท หรือสระมาตรฐานในฟิตเนส ปัญหาน้ำขุ่นถือเป็นปัญหากวนใจอันดับต้น ๆ ที่ทำให้สระไม่น่าว่าย อีกทั้งยังสะท้อนถึงความไม่สะอาดและอาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคได้

คุณสมบัติเด่นของ Cleartrine คือช่วยทำให้น้ำกลับมาใสสะอาดอย่างรวดเร็ว โดยใช้หลักการทางเคมีที่เรียกว่า Flocculation และ Coagulation

  • Flocculation (การรวมตะกอน) คือกระบวนการที่สารใน Cleartrine เข้าไปทำให้อนุภาคเล็ก ๆ ที่กระจายอยู่ในน้ำ เช่น ฝุ่นละออง เศษดิน หรือคราบอินทรีย์ เกาะตัวกันเป็นกลุ่มก้อน (Floc) ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น

  • Coagulation (การตกตะกอน) คือการทำให้อนุภาคที่รวมตัวกันเหล่านี้เริ่มหนักและตกลงไปกองที่ก้นสระ หรือบางส่วนลอยตัวขึ้นมา เพื่อให้ระบบกรองของสระหรือการดูดตะกอนสามารถกำจัดออกได้ง่ายขึ้น

พูดง่าย ๆ ก็คือ Cleartrine ทำหน้าที่เหมือน ตัวช่วยรวบรวมสิ่งสกปรกที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ให้จับตัวกันจนมีขนาดใหญ่พอที่จะถูกระบบกรองดักจับได้ ส่งผลให้น้ำที่ขุ่นมัวกลับมาใสสะอาดภายในเวลาไม่นาน

ทำไม น้ำยาป้องกันน้ำขุ่น Cleartrine ถึงสำคัญ?

  1. ช่วยแก้ปัญหาที่ระบบกรองอย่างเดียวเอาไม่อยู่
    ระบบกรองทั่วไปสามารถกำจัดสิ่งสกปรกได้เฉพาะอนุภาคที่มีขนาดใหญ่ แต่สำหรับฝุ่นละเอียดหรือคราบมันที่ลอยอยู่ในน้ำ ระบบกรองไม่สามารถดักจับได้หมด Cleartrine เข้ามาช่วยตรงจุดนี้

  2. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบกรอง
    เมื่ออนุภาครวมตัวเป็นก้อนใหญ่ขึ้น การกรองน้ำจะทำงานง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม

  3. คงความใสของน้ำในระยะยาว
    การใช้อย่างสม่ำเสมอไม่เพียงช่วยแก้น้ำขุ่นที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังช่วยป้องกันไม่ให้น้ำกลับมาขุ่นง่ายอีก

  4. ปลอดภัยและใช้งานง่าย
    Cleartrine ออกแบบมาให้ใช้งานได้สะดวก เพียงเทลงไปตามอัตราส่วนที่เหมาะสม ไม่ต้องเตรียมสารละลายซับซ้อนเหมือนสารส้ม (Alum) แบบดั้งเดิม


ทำไมน้ำในสระถึงขุ่นง่าย?

หลายคนอาจคิดว่าสระว่ายน้ำที่มีระบบกรองและใส่คลอรีนอย่างสม่ำเสมอแล้ว น้ำจะต้องใสสะอาดอยู่ตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริง น้ำในสระสามารถ “ขุ่น” ได้ง่ายกว่าที่คิด สาเหตุหลัก ๆ มีดังนี้

1. ฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกเล็ก ๆ

แม้เราจะมองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น แต่ในอากาศรอบ ๆ สระมักเต็มไปด้วยฝุ่นละอองเล็ก ๆ ที่ปลิวมาตามลม เมื่อรวมกับเศษใบไม้ เศษหญ้า หรือดินที่ตกลงในสระ ก็ทำให้น้ำเริ่มดูหม่น ไม่ใสปิ๊งเหมือนเดิม

  • ฝุ่นที่มีอนุภาคเล็กกว่า 5 ไมครอน ระบบกรองทั่วไปมักดักไม่หมด

  • ยิ่งถ้าสระอยู่กลางแจ้งใกล้ถนน หรือมีต้นไม้รอบ ๆ จะเสี่ยงเจอน้ำขุ่นบ่อย

2. สารอินทรีย์จากผู้ใช้สระ

ทุกครั้งที่มีคนลงสระ น้ำจะได้รับ “สิ่งสกปรกที่ละลายน้ำได้” เข้ามาโดยไม่รู้ตัว เช่น

  • เหงื่อและไขมันจากร่างกาย

  • ครีมกันแดดหรือโลชั่นที่หลุดออกมา

  • คราบสบู่หรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
    สารเหล่านี้เมื่อสะสมมากขึ้น จะทำให้น้ำขุ่น มีกลิ่นอับ และอาจกลายเป็นอาหารของเชื้อจุลินทรีย์ในสระ

3. การใช้สารเคมีไม่สมดุล

การดูแลน้ำสระจำเป็นต้องคุมค่าเคมีให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ได้แก่

  • ค่า pH ควรอยู่ระหว่าง 7.2–7.6

  • ค่า Alkalinity ต้องคงที่เพื่อป้องกันค่า pH แกว่ง

  • คลอรีนคงเหลือ ควรมีอย่างน้อย 1 ppm เพื่อฆ่าเชื้อโรค
    หากค่าเหล่านี้ผิดเพี้ยน เช่น pH ต่ำเกินไป น้ำจะเป็นกรด ทำให้ขุ่นง่าย หรือหากคลอรีนไม่เพียงพอ เชื้อโรคก็จะเติบโตและทำให้น้ำหม่นไม่ใส

4. ระบบกรองไม่ได้มาตรฐาน

ระบบกรองถือเป็น “หัวใจของสระว่ายน้ำ” แต่ถ้า…

  • สื่อกรองเสื่อมคุณภาพ เช่น ทรายกรองใช้มานานเกิน 3–5 ปี

  • ไม่เคยล้างกรอง (Backwash) อย่างสม่ำเสมอ

  • ปั๊มน้ำมีแรงดันไม่พอ
    ผลที่ตามมาคือระบบกรองไม่สามารถดักจับตะกอนเล็ก ๆ ได้หมด สุดท้ายน้ำก็จะกลับมาขุ่นอยู่ดี

5. ตะกอนโลหะและตะกรัน

ในบางพื้นที่ น้ำประปาหรือแหล่งน้ำมีความกระด้างสูง ทำให้มีแร่ธาตุ เช่น แคลเซียม และแมกนีเซียมปะปนอยู่ เมื่อค่าเคมีในน้ำไม่สมดุล แร่เหล่านี้จะตกตะกอนเป็นคราบขาว ๆ หรือทำให้น้ำดูหม่นขุ่น

  • บางครั้งน้ำยังอาจมีสนิมเหล็กหรือทองแดงปนมา ทำให้เกิดคราบน้ำขุ่นปนสี เช่น เหลือง น้ำตาล หรือเขียว


👉 ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ได้ด้วยการใช้น้ำยา Cleartrine ที่จะช่วย จับตะกอนเล็ก ๆ ให้รวมตัวเป็นก้อนใหญ่ ทำให้ระบบกรองสามารถดักจับออกไปได้ง่าย น้ำจึงกลับมาใสสะอาดในเวลาไม่นาน


วิธีการทำงานของน้ำยาป้องกันน้ำขุ่น Cleartrine

หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมเพียงแค่ใส่น้ำยา Cleartrine ลงในสระไม่กี่ชั่วโมง น้ำที่เคยขุ่นมัวถึงกลับมาใสปิ๊งได้อย่างรวดเร็ว คำตอบคือ Cleartrine ใช้หลักการทางเคมีที่เรียกว่า Coagulation (การจับตัวของโมเลกุล) และ Flocculation (การรวมเป็นก้อนใหญ่ขึ้น)

1. จับโมเลกุลตะกอนเล็ก ๆ

ในสระว่ายน้ำมักมี ตะกอนหรือสิ่งสกปรกที่เล็กมาก เช่น ฝุ่น ดิน คราบเหงื่อ หรือสารอินทรีย์จากร่างกายมนุษย์ โมเลกุลเหล่านี้มีขนาดเล็กจนเครื่องกรองทั่วไปไม่สามารถดักจับได้ น้ำจึงดูหม่นและขุ่นมัว

  • Cleartrine จะปล่อยประจุไฟฟ้าออกไป ทำให้โมเลกุลเล็ก ๆ สูญเสียแรงผลัก และหันมาจับกันแทน

  • ผลลัพธ์คือ ตะกอนเล็ก ๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปลาจะเริ่มเกาะกัน

2. รวมตัวเป็นก้อนใหญ่ (Floc)

เมื่อโมเลกุลเล็ก ๆ จับกันแล้ว จะเกิดเป็น Floc หรือก้อนตะกอนขนาดใหญ่ขึ้น ก้อนเหล่านี้สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ลอยอยู่ในน้ำหรือเริ่มตกลงสู่ก้นสระ

  • การเกิด Floc ช่วยให้สิ่งสกปรกที่เคยกระจายทั่วสระ ถูก “ดึงมารวมตัว” จนง่ายต่อการกำจัด

3. ตกตะกอน/ลอยตัว เพื่อรอการกรอง

ก้อนตะกอนที่เกิดขึ้นอาจมีพฤติกรรมแตกต่างกัน

  • บางส่วนตกลงก้นสระ → สามารถใช้เครื่องดูดตะกอนทำความสะอาดออก

  • บางส่วนลอยกลางน้ำ → ระบบกรองและสกิมเมอร์ (Skimmer) จะดูดออกไป

4. ระบบกรองทำงานง่ายขึ้น

ปกติแล้ว เครื่องกรองมักมีข้อจำกัดในการดักจับสิ่งสกปรกที่เล็กกว่า 20–30 ไมครอน แต่เมื่อน้ำยา Cleartrine ช่วยจับให้ตะกอนเล็ก ๆ รวมตัวจนใหญ่ขึ้น เครื่องกรองสามารถจัดการได้สบาย

  • เท่ากับว่า Cleartrine เพิ่มประสิทธิภาพการกรองหลายเท่า โดยไม่ต้องลงทุนเปลี่ยนเครื่องกรองใหม่

5. น้ำใสปิ๊งใน 12–24 ชั่วโมง

หลังจากตะกอนถูกจับรวมและกำจัดออกไป น้ำในสระก็จะค่อย ๆ กลับมาใส สะอาด และปลอดภัย ภายในเวลาเพียง 12–24 ชั่วโมง


📌 ดังนั้นจะเห็นได้ว่า Cleartrine ไม่ได้ฆ่าเชื้อโรค แต่เป็นตัวช่วยให้ระบบกรองทำงานเต็มประสิทธิภาพ ทำให้ปัญหาน้ำขุ่นแก้ได้ง่ายขึ้น ดูแลสระได้สะดวกขึ้น และประหยัดเวลาเจ้าของสระในระยะยาว


วิธีใช้ Cleartrine ให้ได้ผลดีที่สุด

การใช้น้ำยาป้องกันน้ำขุ่น Cleartrine ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ปริมาณที่ใส่ แต่ยังขึ้นอยู่กับ ลำดับขั้นตอนและการควบคุมคุณภาพน้ำ หากทำตามอย่างถูกวิธี จะช่วยให้สระใสปิ๊งอย่างรวดเร็วและประหยัดต้นทุนได้มากขึ้น

📌 ขั้นตอนการใช้งานอย่างละเอียด

1. ตรวจสอบค่าน้ำก่อนใช้งาน

  • ค่า pH: ควรอยู่ที่ 7.2–7.6 เพราะถ้าสูงหรือต่ำเกินไป น้ำยาอาจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

  • คลอรีนคงเหลือ: ควรมีอย่างน้อย 1 ppm เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำสะอาดและปราศจากเชื้อโรค

  • ✅ แนะนำ: ใช้ชุด Test Kit วัดค่าน้ำ ก่อนทุกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าสภาพน้ำพร้อมสำหรับการใส่น้ำยา


2. ปิดปั๊มและระบบกรองชั่วคราว

  • การปิดระบบกรองจะช่วยให้ตะกอนเล็ก ๆ ในสระ มีเวลาจับตัวรวมกัน โดยไม่ถูกรบกวนจากการไหลเวียนของน้ำ

  • ระยะเวลาปิดขึ้นอยู่กับสภาพน้ำ แต่โดยทั่วไปให้ปิดประมาณ 30–60 นาทีแรกหลังเติมน้ำยา


3. เติมน้ำยาน้ำยาป้องกันน้ำขุ่น Cleartrine ในอัตราส่วนที่ถูกต้อง

  • ปริมาณที่แนะนำ:

    • น้ำขุ่นเล็กน้อย → 30 ml ต่อ 10,000 ลิตร

    • น้ำขุ่นปานกลาง → 40 ml ต่อ 10,000 ลิตร

    • น้ำขุ่นมาก → 50 ml ต่อ 10,000 ลิตร

  • วิธีการเติม: เทน้ำยาลงในสระให้กระจายรอบ ๆ ขอบสระ เพื่อให้น้ำยากระจายตัวทั่วถึง

  • ✅ เคล็ดลับ: ค่อย ๆ เทน้ำยาพร้อมเดินรอบสระ จะช่วยกระจายตัวได้ดีกว่าเทลงจุดเดียว


4. ทิ้งไว้ให้ตะกอนรวมตัว

  • หลังเติมน้ำยา ควร ทิ้งไว้ 6–12 ชั่วโมง โดยยังไม่เปิดระบบกรอง

  • ช่วงเวลานี้น้ำยาจะเริ่มทำงาน จับโมเลกุลเล็ก ๆ ให้รวมตัวกันเป็นก้อนตะกอน

  • ✅ หากเป็นสระที่มีน้ำขุ่นมาก อาจต้องทิ้งไว้ถึง 24 ชั่วโมง เพื่อให้ตะกอนตกลงไปก้นสระ


5. เปิดระบบกรองอีกครั้ง

  • หลังจากปล่อยให้ตะกอนรวมตัวแล้ว ให้เปิดปั๊มและระบบกรองตามปกติ

  • ระบบกรองจะช่วยดูดเอาตะกอนที่ลอยหรือแขวนลอยอยู่ในน้ำออกไป ทำให้น้ำเริ่มใสขึ้น

  • ✅ แนะนำให้กรองต่อเนื่องอย่างน้อย 6–8 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับขนาดสระและประสิทธิภาพของเครื่องกรอง


6. ดูดตะกอนก้นสระ

  • หากมีตะกอนขนาดใหญ่ตกลงไปที่ก้นสระ ให้ใช้ เครื่องดูดตะกอน (Vacuum) ดูดออก

  • ควรดูดอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้ตะกอนฟุ้งกระจายกลับขึ้นมาในน้ำ

  • ✅ สำหรับสระที่มีระบบดูดตะกอนเฉพาะ สามารถต่อสายเข้ากับระบบกรองได้เลย


⭐ เคล็ดลับเพิ่มเติมเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

  • ควรใช้น้ำยา Cleartrine เดือนละครั้ง เพื่อป้องกันปัญหาน้ำขุ่น ไม่ใช่รอจนเกิดปัญหาแล้วค่อยแก้

  • ตรวจสอบและล้างสื่อกรอง (ทรายกรอง/ทรายแก้ว) อย่างน้อย เดือนละครั้ง

  • หากมีการใช้งานสระหนัก เช่น งานปาร์ตี้หรือเด็ก ๆ เล่นจำนวนมาก ควรเสริมน้ำยา Cleartrine ภายใน 1–2 วันหลังการใช้งาน


ตารางสรุปการใช้งาน Cleartrine

ปัญหาน้ำสระ ปริมาณที่ใช้ วิธีแก้ เวลาที่เห็นผล รายละเอียดเพิ่มเติม
น้ำขุ่นเล็กน้อย 30 ml ต่อ 10,000 ลิตร เทน้ำยากระจายรอบสระ จากนั้นปิดระบบปั๊มและกรองชั่วคราว ประมาณ 12 ชั่วโมง มักเกิดจากฝุ่นละออง ละอองเกสร หรือสิ่งสกปรกเล็กน้อยที่เล็ดลอดผ่านตัวกรอง การเติม Cleartrine ปริมาณเบา ๆ จะช่วยให้ตะกอนเหล่านี้รวมตัวและจมลง กรองออกได้ง่าย น้ำกลับมาใสโดยไม่ต้องใช้แรงมาก
น้ำขุ่นปานกลาง 40 ml ต่อ 10,000 ลิตร เติมน้ำยาแล้วเปิดระบบกรองให้ทำงานต่อเนื่อง 12–24 ชั่วโมง เกิดจากการใช้งานสระบ่อย เช่น มีผู้ว่ายจำนวนมาก เหงื่อ ครีมกันแดด หรือการรักษาค่าเคมีไม่สมดุล Cleartrine จะช่วยจับตะกอนใหญ่มากขึ้น ระบบกรองสามารถดักได้ชัดเจน น้ำจะใสขึ้นภายในวันถัดไป
น้ำขุ่นมาก 50 ml ต่อ 10,000 ลิตร เติมน้ำยา แล้วทิ้งไว้จนตะกอนจม ใช้เครื่องดูดตะกอนก้นสระช่วย 24 ชั่วโมงขึ้นไป มักเกิดจากการปล่อยสระทิ้งไว้นานโดยไม่บำรุง น้ำไม่ได้ใส่คลอรีน ค่า pH เพี้ยน หรือฝุ่นตะกอนสะสมจำนวนมาก กรณีนี้ Cleartrine จะเร่งให้สิ่งสกปรกรวมตัวและตกตะกอนที่ก้นสระ จำเป็นต้องใช้เครื่องดูดตะกอนร่วมด้วยจึงจะเห็นผลเต็มที่

อธิบายเพิ่มเติมแต่ละระดับ

🟦 น้ำขุ่นเล็กน้อย

  • สระยังดูใสอยู่ แต่เริ่มเห็นหมอกบาง ๆ เวลามองในน้ำ

  • อาการนี้แก้ได้ง่าย เพียงใช้ Cleartrine ปริมาณเล็กน้อย น้ำก็กลับมาใสปิ๊ง

  • เหมาะสำหรับการ บำรุงรักษาเชิงป้องกัน ใส่ทุก ๆ 2–4 สัปดาห์

🟩 น้ำขุ่นปานกลาง

  • มองเห็นก้นสระไม่ชัด อาจเริ่มเห็นเศษตะกอนลอย

  • มักเกิดหลังจากมีการใช้งานสระหนัก ๆ เช่น งานเลี้ยง หรือฝนตกหนัก

  • จำเป็นต้องใช้ Cleartrine ในปริมาณที่สูงขึ้น และให้ระบบกรองทำงานต่อเนื่อง เพื่อช่วยเร่งให้สิ่งสกปรกถูกกำจัดออกไป

⬛ น้ำขุ่นมาก

  • น้ำในสระแทบไม่สามารถมองทะลุได้ เห็นเป็นสีขุ่นเทา/เขียว

  • หากปล่อยไว้นาน อาจเกิดการสะสมของเชื้อจุลินทรีย์และกลิ่นไม่พึงประสงค์

  • ต้องใส่ Cleartrine ในระดับสูงสุด แล้วทิ้งเวลาให้ตะกอนตกลงก้นสระ

  • ขั้นตอนนี้ควรทำพร้อมกับ การปรับสมดุลน้ำ เช่น เติมคลอรีน–ปรับ pH–ดูดตะกอน


เคล็ดลับการใช้งาน น้ำยาป้องกันน้ำขุ่น Cleartrine ให้ได้ผลสูงสุด

แม้ว่า น้ำยาป้องกันน้ำขุ่น Cleartrine จะใช้งานง่าย แต่ถ้าใส่ผิดวิธีหรือไม่เหมาะกับสภาพน้ำ ผลลัพธ์ก็อาจไม่เต็มที่ ดังนั้น การใช้อย่างถูกต้องและมีเทคนิคเล็กน้อย จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด

1) เลือกเวลาที่เหมาะสม – ใส่ตอนเย็นหรือกลางคืน 🌙

  • ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเติม Cleartrine คือ ตอนเย็นหรือกลางคืน

  • เหตุผล: แสงแดดแรง ๆ อาจรบกวนประสิทธิภาพของสารเคมีในน้ำ และทำให้เกิดการระเหยเร็วกว่าปกติ

  • เมื่อเติมในตอนกลางคืน น้ำยาจะมีเวลาในการทำปฏิกิริยากับตะกอนอย่างเต็มที่ โดยไม่มีแสงแดดมารบกวน

👉 ผลลัพธ์คือ ตื่นเช้ามาจะเห็นน้ำใสขึ้นอย่างชัดเจน


2) ตรวจสอบค่า pH และคลอรีน หากน้ำยังไม่ใสหลัง 24 ชั่วโมง 🧪

  • ปกติ Cleartrine จะเห็นผลภายใน 12–24 ชั่วโมง

  • แต่ถ้าเวลาผ่านไปแล้วน้ำยังไม่ใส ควร ตรวจสอบคุณภาพน้ำ อีกครั้ง โดยเฉพาะ

    • pH: ควรอยู่ระหว่าง 7.2–7.6

    • คลอรีนคงเหลือ (Free Chlorine): อย่างน้อย 1 ppm

  • เพราะถ้า ค่าเคมีไม่สมดุล น้ำยาอาจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ตะกอนเล็ก ๆ อาจไม่รวมตัว และน้ำจึงยังคงขุ่นอยู่

👉 ดังนั้น ก่อนใส่ Cleartrine ทุกครั้ง ควรตรวจสอบคุณภาพน้ำด้วยชุดทดสอบ เพื่อเพิ่มโอกาสให้น้ำใสเร็วขึ้น


3) ไม่ควรเติมเกินปริมาณ ❌

  • บางคนคิดว่า “ยิ่งใส่มาก น้ำจะใสเร็วขึ้น” แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย

  • การใส่เกินปริมาณอาจทำให้เกิด ตะกอนส่วนเกิน ตกค้างในน้ำ → ต้องใช้เวลามากขึ้นในการดูดออกด้วยเครื่องดูดตะกอน

  • นอกจากนี้ยังอาจทำให้ระบบกรองทำงานหนักเกินไป และสิ้นเปลืองน้ำยาโดยไม่จำเป็น

👉 ดังนั้น ควรยึดตาม อัตราส่วนที่แนะนำบนฉลาก เช่น 30–50 ml ต่อ 10,000 ลิตร ไม่ควรเกิน


4) กระจายสารให้ทั่วสระ 💧

  • เวลาเติม ควรเดินรอบสระและเทน้ำยาลงให้ทั่ว ๆ ไม่ควรเทลงจุดเดียว

  • เพราะถ้าใส่แค่บางมุม ตะกอนอาจจับตัวเฉพาะส่วนนั้น ทำให้น้ำไม่ใสสม่ำเสมอทั่วทั้งสระ


5) เปิดระบบกรองอย่างเหมาะสม ⚙️

  • หลังจากใส่น้ำยาแล้ว ทิ้งไว้ 6–12 ชั่วโมง จากนั้นควร เปิดระบบกรองต่อเนื่อง

  • ระบบกรองจะช่วยดูดตะกอนที่จับตัวกันแล้วออกจากน้ำ ทำให้ได้ผลเร็วขึ้น

  • หากมีตะกอนนอนก้น ควรใช้เครื่องดูดตะกอนช่วยกำจัดออก


ข้อควรระวังในการใช้น้ำยาป้องกันน้ำขุ่น Cleartrine

แม้ว่า Cleartrine จะเป็นน้ำยาที่ใช้งานง่ายและปลอดภัยเมื่อปฏิบัติตามคำแนะนำ แต่หากใช้งานผิดวิธี อาจส่งผลให้เกิดปัญหากับคุณภาพน้ำและระบบสระได้ ดังนั้นผู้ใช้งานควรปฏิบัติตามข้อควรระวังดังนี้

1. ❌ ห้ามใช้เกินอัตราที่แนะนำ

การใส่น้ำยา มากเกินไป ไม่ได้ทำให้น้ำใสเร็วขึ้น ตรงกันข้ามอาจทำให้เกิด ตะกอนตกค้างในน้ำ จนระบบกรองไม่สามารถกำจัดออกได้หมด ส่งผลให้น้ำกลับมาขุ่นหรือมีตะกอนนอนก้นสระ นอกจากนี้การใช้เกินอัตราอาจทำให้ค่าเคมีของน้ำเสียสมดุล ต้องเสียเวลาแก้ไขมากกว่าเดิม

👉 แนะนำ: ควรชั่ง/ตวงปริมาณให้แม่นยำ และใช้ตามคู่มือเท่านั้น


2. ❌ หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง ควรสวมถุงมือ

แม้ Cleartrine จะถูกออกแบบให้ปลอดภัยต่อการใช้งานทั่วไป แต่ก็ยังจัดเป็นสารเคมีที่อาจก่อให้เกิด การระคายเคืองผิวหนังและดวงตา ได้ หากสัมผัสโดยตรงเป็นเวลานาน

👉 แนะนำ:

  • สวมถุงมือยาง แว่นตา และชุดป้องกันเมื่อใช้งาน

  • หากน้ำยากระเด็นเข้าตา ควรรีบล้างด้วยน้ำสะอาดจำนวนมาก และไปพบแพทย์ทันที

  • หากสัมผัสผิวหนังให้รีบล้างออกด้วยสบู่และน้ำสะอาด


3. ❌ เก็บในที่แห้ง ไม่ตากแดดจัด

Cleartrine ควรเก็บในบรรจุภัณฑ์ที่ปิดสนิท และวางไว้ในที่ อากาศถ่ายเท ไม่ชื้น และไม่โดนแสงแดดโดยตรง เพราะความร้อนและแสงแดดสามารถทำให้คุณภาพของน้ำยาเสื่อมลงได้เร็วกว่าเดิม

👉 แนะนำ:

  • เก็บในอุณหภูมิห้องปกติ (20–30°C)

  • ไม่วางใกล้เปลวไฟหรือแหล่งความร้อน

  • เก็บให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง


4. ❌ ไม่ควรใช้พร้อมกับสารเคมีอื่นโดยตรง ควรเว้นช่วงเวลา

ห้ามผสมน้ำยา Cleartrine กับสารเคมีสระชนิดอื่นในเวลาเดียวกัน เช่น คลอรีนเหลว คลอรีนผง กรดเกลือ หรือโซดาไฟ เพราะอาจเกิด ปฏิกิริยาทางเคมีที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ทำให้ตะกอนจับตัวมากเกินไป น้ำเสียสมดุล หรือเกิดการระเหยของสารบางชนิดที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้งาน

👉 แนะนำ:

  • เว้นระยะห่างในการเติมสารเคมีแต่ละชนิดอย่างน้อย 2–3 ชั่วโมง

  • เปิดระบบกรองหมุนเวียนน้ำหลังเติมสารเคมีแต่ละชนิด เพื่อให้น้ำกระจายตัวทั่วถึงก่อนเติมสารใหม่


Cleartrine vs น้ำยาชนิดอื่น: อะไรคือความแตกต่าง?

เมื่อพูดถึงการแก้ปัญหาน้ำขุ่นในสระว่ายน้ำ หลายคนอาจคุ้นเคยกับการใช้น้ำยา “สารส้ม (Alum)” ซึ่งถือว่าเป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้กันมานาน แต่ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง Cleartrine ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์เจ้าของสระให้ใช้งานง่ายและเห็นผลเร็วขึ้น

ตารางเปรียบเทียบด้านล่างนี้ จะช่วยให้เห็นความต่างระหว่าง Cleartrine และ Alum (สารส้ม) ได้ชัดเจนมากขึ้น

คุณสมบัติ Cleartrine Alum (สารส้ม)
ความสะดวกในการใช้งาน เทลงสระได้เลย ไม่ต้องละลายน้ำก่อน ใช้งานง่ายสำหรับผู้ดูแลทั่วไป ต้องละลายน้ำก่อนใช้ และกระจายให้ทั่วสระ ใช้เวลาเตรียมมากกว่า
ความเร็วในการทำงาน เห็นผลภายใน 12–24 ชั่วโมง น้ำใสขึ้นชัดเจน ใช้เวลานานกว่า 24–48 ชั่วโมงจึงเห็นผลเต็มที่
ลักษณะตะกอนที่เกิดขึ้น เกิดตะกอนไม่หนามาก ดูดออกง่าย ไม่เสี่ยงอุดตันระบบท่อ เกิดตะกอนหนาและหนักกว่า ต้องใช้เวลานานในการดูดออก อาจเสี่ยงอุดตันท่อหรือปั๊ม
ค่าใช้จ่าย ราคาปานกลาง เหมาะกับสระที่ต้องการบำรุงรักษาสม่ำเสมอ ราคาถูกกว่า แต่ใช้ไม่สะดวกและต้องใช้ปริมาณมากกว่า
ผลกระทบต่อระบบสระ ปลอดภัยต่อระบบกรอง ไม่ทำให้ค่า pH แปรปรวนมาก อาจทำให้ค่า pH ของน้ำเปลี่ยน ต้องปรับสมดุลซ้ำ
เหมาะกับใคร เจ้าของสระบ้าน, รีสอร์ท, โรงแรม ที่ต้องการความใสรวดเร็วและดูแลง่าย ใช้ได้กับสระที่มีผู้ดูแลเชี่ยวชาญและพร้อมดูแลระบบกรองหลังใช้งาน

วิเคราะห์เพิ่มเติม

  1. Cleartrine → จุดเด่นคือ “สะดวก + เห็นผลเร็ว” เหมาะกับสระที่มีการใช้งานบ่อย เช่น สระบ้าน สระรีสอร์ท หรือสระโรงแรม ที่ต้องการให้น้ำใสปิ๊งตลอดเวลาโดยไม่ยุ่งยาก

  2. Alum (สารส้ม) → ถึงจะราคาถูกกว่า แต่ต้องใช้ทักษะและเวลาในการดูแลมากกว่า เหมาะกับการแก้ปัญหาน้ำขุ่นเป็นครั้งคราว ไม่เหมาะกับการบำรุงรักษาระยะยาว

👉 จะเห็นได้ว่า Cleartrine คือคำตอบสำหรับคนที่อยากได้ความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยต่อระบบสระ ในขณะที่ Alum เหมาะกับผู้ที่ต้องการประหยัด แต่ต้องยอมรับความยุ่งยากในการใช้งานและดูแลเพิ่มเติม


เคล็ดลับการดูแลสระให้ใสตลอดเวลา

หลายคนอาจคิดว่าการมีสระว่ายน้ำแค่เติมคลอรีนก็เพียงพอแล้ว แต่ในความจริงการดูแลสระน้ำให้ใสปิ๊งอย่างต่อเนื่อง ต้องอาศัยการตรวจสอบและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งถ้าคุณทำตามเคล็ดลับเหล่านี้ รับรองว่าน้ำในสระจะสะอาด ปลอดภัย และดูน่าใช้งานตลอดทั้งปี

1. ตรวจสอบค่า pH และคลอรีน อย่างสม่ำเสมอ

  • ค่า pH ที่เหมาะสม ควรอยู่ระหว่าง 7.2 – 7.6 หากต่ำเกินไป น้ำจะเป็นกรด ทำให้เกิดการกัดกร่อนโลหะและระคายเคืองตาผิวหนัง แต่ถ้าสูงเกินไป คลอรีนจะทำงานได้ไม่เต็มที่ น้ำอาจขุ่นง่ายขึ้น

  • ค่า คลอรีนเหลือคงเหลือ (Free Chlorine) ควรอยู่ระหว่าง 1–3 ppm เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัส

  • ควรตรวจสอบ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง หรือบ่อยกว่านั้นหากเป็นสระที่มีการใช้งานหนัก เช่น สระสาธารณะ

👉 หากค่าสมดุล น้ำจะใสและสารเคมีต่าง ๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


2. ล้างกรองทุก 1–2 สัปดาห์

ระบบกรองถือเป็น “หัวใจ” ของสระว่ายน้ำ เพราะทำหน้าที่ดักจับสิ่งสกปรกที่ปนมากับน้ำ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง เศษผง หรือคราบต่าง ๆ

  • หากเป็น ทรายกรอง ควรล้างย้อนกลับ (Backwash) ทุก 1–2 สัปดาห์

  • หากเป็น กรองกระดาษ/กรองการ์ทริดจ์ (Cartridge Filter) ควรล้างทำความสะอาดทุก 2–4 สัปดาห์

  • กรณีที่สระใช้งานหนัก เช่น รีสอร์ทหรือฟิตเนส ควรล้างบ่อยขึ้นเพื่อให้การกรองมีประสิทธิภาพสูงสุด

👉 การล้างกรองอย่างสม่ำเสมอช่วยยืดอายุระบบกรอง และทำให้น้ำใสสะอาดตลอดเวลา


3. ดูดตะกอนก้นสระเป็นประจำ

แม้ว่าน้ำในสระจะใส แต่ตะกอนเล็ก ๆ เช่น ฝุ่น ทราย หรือเศษใบไม้ อาจสะสมที่ก้นสระได้

  • ควรใช้ เครื่องดูดตะกอนสระว่ายน้ำ (Vacuum Pool Cleaner) ดูดตะกอนออกอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง

  • ถ้าเป็นสระกลางแจ้งที่มีต้นไม้รอบ ๆ ควรทำบ่อยขึ้น เพื่อป้องกันน้ำขุ่นและคราบตะกอนแข็งติดพื้น

👉 การดูดตะกอนช่วยลดโอกาสการสะสมของเชื้อโรคและทำให้น้ำใสเป็นประกาย


4. ใช้น้ำยา Cleartrine เดือนละครั้งเพื่อป้องกันน้ำขุ่น

แม้จะดูแลค่า pH และระบบกรองดีแล้ว แต่ในบางครั้งก็ยังเกิดปัญหาน้ำขุ่นจากตะกอนเล็ก ๆ ที่กรองจับไม่ได้

  • การใช้น้ำยาป้องกันน้ำขุ่น Cleartrine เดือนละครั้ง จะช่วยให้ตะกอนเล็ก ๆ จับตัวกันจนใหญ่ขึ้น ทำให้ระบบกรองสามารถดักออกได้ง่าย

  • ควรใช้อัตราส่วนตามที่แนะนำ (30–50 ml ต่อ 10,000 ลิตรน้ำ) เพื่อไม่ให้เกิดตะกอนเกินความจำเป็น

  • หลังใช้ Cleartrine จะทำให้น้ำใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และช่วยลดภาระงานของระบบกรอง

👉 การใส่ Cleartrine เป็นการ “เสริมเกราะป้องกัน” ที่ทำให้สระใสปิ๊งได้ตลอดเวลา ไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหม่นขุ่น


FAQ – คำถามที่พบบ่อย

❓ Cleartrine ใช้แทนคลอรีนได้ไหม?

คำตอบ: ไม่ได้ค่ะ เพราะ Cleartrine มีหน้าที่หลักคือ จับตะกอนและทำให้น้ำใส ส่วน คลอรีน ทำหน้าที่ ฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรีย ที่ปนเปื้อนในน้ำ ทั้งสองอย่างมีบทบาทต่างกันแต่เสริมกัน เมื่อใช้ร่วมกัน น้ำในสระจะทั้ง ใสสะอาด และ ปลอดภัยต่อสุขภาพผู้ว่ายน้ำ หากใช้ Cleartrine เพียงอย่างเดียว น้ำอาจใสจริง แต่ยังมีความเสี่ยงจากเชื้อโรคที่ไม่ถูกกำจัด


❓ ใส่ Cleartrine แล้วลงสระได้เลยไหม?

คำตอบ: ไม่ควรลงสระทันที ควรรออย่างน้อย 12 ชั่วโมง หลังการใส่ Cleartrine เพื่อให้ตะกอนจับตัวและถูกระบบกรองหรือตกตะกอนที่ก้นสระ จากนั้นจึงทำการดูดตะกอนออก และควรตรวจสอบว่า ค่า pH และค่าคลอรีนอยู่ในระดับสมดุล ก่อนให้คนลงสระ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด โดยทั่วไปหลังการบำบัดสระ ควรทดสอบน้ำด้วยชุดทดสอบค่าเคมีทุกครั้ง


❓ ถ้าใส่ น้ำยาป้องกันน้ำขุ่นCleartrine เกินปริมาณที่แนะนำ จะเกิดอะไรขึ้น?

คำตอบ: การใส่เกินปริมาณที่แนะนำไม่ได้ทำให้น้ำใสเร็วขึ้น แต่กลับอาจทำให้เกิดปัญหา เช่น

  • มี ตะกอนตกค้าง ปริมาณมากที่ก้นสระ

  • น้ำอาจกลับมาขุ่นอีกครั้ง เพราะตะกอนลอยวนไม่ถูกกรองออกหมด

  • ระบบกรองอาจทำงานหนักหรืออุดตันได้เร็วกว่าปกติ

ดังนั้นควรใส่ตามอัตราส่วนที่แนะนำ เช่น 30–50 ml ต่อ 10,000 ลิตร และหากจำเป็นต้องแก้ไขน้ำขุ่นมาก ๆ ควรใส่ทีละรอบ ไม่ควรเทเพิ่มเกินปริมาณในคราวเดียว


❓ Cleartrine ใช้กับบ่อปลาได้ไหม?

คำตอบ: ไม่แนะนำค่ะ เพราะ Cleartrine ถูกออกแบบมาสำหรับสระว่ายน้ำ ที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตภายใน หากนำไปใช้กับบ่อปลา อาจเป็นอันตรายต่อปลาและพืชน้ำได้ เนื่องจากสารเคมีในน้ำยาไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ปลอดภัยต่อสิ่งมีชีวิต การดูแลบ่อปลา ควรใช้วิธีการกรองทางชีวภาพ (Bio Filter) หรือผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อบ่อปลาโดยเฉพาะ


❓ ควรใช้ Cleartrine บ่อยแค่ไหน?

คำตอบ: ขึ้นอยู่กับการใช้งานสระและสภาพแวดล้อม

  • หากสระใช้งานบ่อย หรือมีฝุ่น/เศษใบไม้เยอะ ควรใช้ ทุก 2–4 สัปดาห์

  • หากเป็นสระบ้านที่ใช้งานน้อย อาจใช้ เดือนละครั้ง เพื่อป้องกันน้ำขุ่น

  • ในกรณีมีฝนตกหนักหรือน้ำขุ่นผิดปกติ สามารถใช้เพิ่มเติมได้ตามความเหมาะสม


❓ Cleartrine ใช้ได้กับทุกสระหรือไม่?

คำตอบ: ใช้ได้ทั้ง สระคอนกรีต, สระไฟเบอร์กลาส และสระที่ใช้ระบบกรองทราย/ทรายแก้ว แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ในสระที่มีระบบชีวภาพ (เช่น บ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ)


 

  • น้ำยากำจัดตะไคร่น้ำ Swimtrine Plus


    Quick View

  • น้ำยากำจัดตะไคร่น้ำดำ Black Algaetrine


    Quick View

  • SANITRINE


    Quick View

  • น้ำยาทำให้น้ำใสและป้องกันตะไคร่เขียว POOL ADVANCE


    Quick View

  • น้ำยาป้องกันตะไคร่เขียว SWIM ADVANCE


    Quick View

  • น้ำยาป้องกันน้ำขุ่น Cleartrine


    Quick View

  • น้ำยาป้องกันน้ำขุ่น น้ำเขียว Pooltrine


    Quick View

 

สรุป

น้ำยาป้องกันน้ำขุ่น Cleartrine เป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับการดูแลสระว่ายน้ำ เพราะช่วยให้น้ำใสสะอาด รักษาความสวยงาม และเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งาน เหมาะทั้งสำหรับสระบ้านและสระเชิงพาณิชย์ หากคุณต้องการให้สระดูน่าใช้งานอยู่เสมอ การมี Cleartrine ติดไว้ถือว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง

ไลน์คอนแทคอุปกรณ์สระว่ายน้ำ

หากคุณกำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญในการสร้างสระว่ายน้ำที่มีประสบการณ์และน่าเชื่อถือ และดูแลเราพร้อมให้คำแนะนำและบริการครบวงจรตั้งแต่การออกแบบ ก่อสร้าง ไปจนถึงการดูแลรักษาสระ เพื่อให้คุณได้สระว่ายน้ำที่สมบูรณ์แบบและใช้งานได้อย่างคุ้มค่า ติดต่อเราวันนี้เพื่อรับคำปรึกษาฟรี!

บริษัท เวิลด์พูลส์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด