ควรใช้สารเคมีอะไรบ้างในการดูแลสระว่ายน้ำ(swimming pool)?

ควรใช้สารเคมีอะไรบ้างในการดูแลสระว่ายน้ำ(swimming pool)? การดูแลสระว่ายน้ำด้วยสารเคมีเป็นขั้นตอนที่สำคัญเพื่อรักษาคุณภาพน้ำให้สะอาด ปลอดเชื้อโรค และปราศจากสิ่งสกปรก การใช้สารเคมีช่วยควบคุมคุณภาพน้ำอย่างเหมาะสม ทั้งในด้านค่า pH ความเป็นกรด-ด่าง รวมถึงปริมาณคลอรีนในน้ำ ซึ่งเป็นสารที่สำคัญในการฆ่าเชื้อโรค ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และจุลินทรีย์อื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดโรคและปัญหาสุขภาพได้

สารเคมีที่ใช้ในการดูแลสระว่ายน้ำยังช่วยลดการสะสมของตะไคร่น้ำ ซึ่งเป็นแหล่งของเชื้อโรคและทำให้น้ำขุ่นมัว การปรับสมดุลน้ำอย่างสม่ำเสมอด้วยสารเคมีจึงเป็นวิธีที่ช่วยให้ผู้ใช้สระว่ายน้ำได้รับประสบการณ์ที่ปลอดภัยและสะอาด ทั้งยังช่วยลดปัญหาการกัดกร่อนของพื้นผิวและอุปกรณ์ต่าง ๆ ในสระว่ายน้ำ เช่น ปั๊มน้ำ ท่อ หรือฟิลเตอร์

ดังนั้น การดูแลสระว่ายน้ำด้วยสารเคมีอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำในสระปลอดภัย สะอาด และมีคุณภาพที่ดีสำหรับการใช้งาน

การดูแลสระว่ายน้ำให้สะอาดและปลอดภัยต้องใช้สารเคมีหลากหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีหน้าที่และบทบาทเฉพาะในการรักษาคุณภาพของน้ำและป้องกันการเกิดปัญหาต่าง ๆ โดยสามารถแบ่งสารเคมีที่ใช้ในการดูแลสระว่ายน้ำตามหน้าที่การทำงานได้ดังนี้:

คลอรีน (Chlorine)

คลอรีนเป็นสารเคมีหลักที่ใช้ในการฆ่าเชื้อโรคในสระว่ายน้ำ ช่วยกำจัดแบคทีเรีย ไวรัส และจุลินทรีย์ต่าง ๆ ที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ คลอรีนสามารถใช้ในรูปแบบผง เม็ด หรือของเหลว ควรเติมในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถฆ่าเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งาน

 

สารควบคุมค่า pH

ค่า pH ในสระว่ายน้ำควรถูกควบคุมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม (ประมาณ 7.2-7.6) เพื่อให้การทำงานของคลอรีนมีประสิทธิภาพและป้องกันการระคายเคืองต่อผิวหนังและดวงตา สารเคมีที่ใช้ในการควบคุมค่า pH แบ่งเป็น:

สารเพิ่มค่า pH เช่น โซเดียมคาร์บอเนต (โซดาแอช)

สารลดค่า pH เช่น กรดไฮโดรคลอริก หรือ โซเดียมไบคาร์บอเนต

 

สารป้องกันตะไคร่ (Algaecides)

สารเคมีนี้ใช้เพื่อป้องกันและกำจัดตะไคร่ในสระว่ายน้ำ ตะไคร่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้น้ำขุ่นและลื่น สารป้องกันตะไคร่มีหลายชนิด ทั้งแบบธรรมดาและแบบเข้มข้น ควรใช้อย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการสะสมของตะไคร่ในระยะยาว

 

สารตกตะกอน (Flocculants)

สารตกตะกอนช่วยในการกำจัดฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกขนาดเล็กที่ลอยอยู่ในน้ำ โดยสารจะทำให้สิ่งสกปรกรวมตัวกันเป็นก้อนขนาดใหญ่ขึ้นและตกลงสู่ก้นสระ ทำให้การกรองออกได้ง่ายยิ่งขึ้นและช่วยให้สระใสสะอาด

 

สารช่วยให้น้ำใส (Clarifiers)

สารช่วยให้น้ำใสมีหน้าที่ในการรวมตัวอนุภาคเล็ก ๆ ให้กลายเป็นก้อนขนาดใหญ่ที่กรองออกได้ง่ายขึ้น ช่วยปรับให้น้ำมีความใสสะอาดและสวยงาม ทั้งยังช่วยรักษาสมดุลของน้ำและเสริมประสิทธิภาพในการกรอง

 

สารฆ่าเชื้ออื่น ๆ

นอกจากคลอรีนแล้ว ยังมีสารฆ่าเชื้ออื่น ๆ เช่น โบรมีน (Bromine) และไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ซึ่งใช้ในบางกรณีสำหรับสระที่ต้องการการฆ่าเชื้อที่แรงกว่า โดยโบรมีนเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับคลอรีน แต่ให้ความอ่อนโยนต่อผิวมากกว่า และเหมาะสำหรับสระว่ายน้ำในร่ม

การเลือกใช้สารเคมีที่เหมาะสมตามประเภทการใช้งานและคุณสมบัติของสระจะช่วยให้การดูแลสระว่ายน้ำมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญและใช้ในปริมาณที่ถูกต้องเพื่อความปลอดภัยและคุณภาพน้ำที่ดีที่สุด

 

การใช้คลอรีนในการฆ่าเชื้อโรคในสระว่ายน้ำ

การใช้คลอรีนในการฆ่าเชื้อโรคในสระว่ายน้ำเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการรักษาน้ำให้สะอาดและปลอดภัยจากเชื้อโรค โดยคลอรีนมีหลายรูปแบบที่ใช้ในสระว่ายน้ำ ได้แก่ คลอรีนผง คลอรีนน้ำ และคลอรีนชนิดเม็ด แต่ละชนิดมีลักษณะและวิธีการใช้งานแตกต่างกัน ดังนี้:

ชนิดของคลอรีน

  1. คลอรีนผง (Calcium Hypochlorite)
    • มีความเข้มข้นสูง มักใช้เป็นตัวเลือกในการฆ่าเชื้อโรคได้อย่างรวดเร็ว
    • นิยมใช้ในกรณีที่ต้องการการฆ่าเชื้อเป็นครั้งคราวหรือเพิ่มคลอรีนอย่างเร่งด่วน
    • ควรผสมกับน้ำในถังแยกก่อนเทลงในสระ เพื่อป้องกันการตกค้างและความเสียหายต่อพื้นผิวสระ
  2. คลอรีนน้ำ (Liquid Chlorine)
    • อยู่ในรูปแบบของโซเดียมไฮโปคลอไรต์ (Sodium Hypochlorite) ใช้งานง่าย แต่มีความเข้มข้นต่ำกว่าคลอรีนผง
    • มักใช้สำหรับการเพิ่มระดับคลอรีนในสระเป็นประจำ เพราะละลายง่ายและไม่ทิ้งคราบ
    • ควรเก็บในที่มืดและเย็น เนื่องจากสารนี้เสื่อมสภาพเมื่อโดนแสงและความร้อน
  3. คลอรีนชนิดเม็ด (Chlorine Tablets)
    • มีรูปแบบที่สะดวกต่อการใช้งานและละลายช้า ทำให้สามารถปล่อยคลอรีนเข้าสู่สระอย่างต่อเนื่อง
    • เหมาะสำหรับใช้ในเครื่องเติมคลอรีนอัตโนมัติหรือใช้ใส่ในตะแกรงกรองน้ำ
    • ควรหลีกเลี่ยงการวางคลอรีนเม็ดลงในสระโดยตรง เพราะอาจทำให้พื้นผิวสระเกิดรอยด่างจากการละลายที่เข้มข้น

วิธีการใช้คลอรีนเพื่อรักษาความสะอาดของน้ำ

  1. ตรวจสอบค่าน้ำเป็นประจำ โดยเฉพาะค่า pH และระดับคลอรีน ควรตั้งค่า pH ให้เหมาะสม (7.2-7.6) เพื่อให้คลอรีนทำงานได้ดีขึ้น
  2. เติมคลอรีนในปริมาณที่เหมาะสมหลังจากวัดค่าน้ำ โดยปริมาณการใช้ขึ้นอยู่กับขนาดของสระ ความเข้มข้นของคลอรีน และระดับการปนเปื้อนในน้ำ
  3. แนะนำให้เติมคลอรีนในช่วงเวลาที่ไม่มีผู้ใช้สระ เช่น ตอนกลางคืน เพราะคลอรีนจะระเหยไปเมื่อเจอแสงแดด

การคำนวณปริมาณคลอรีนที่เหมาะสม

  • การคำนวณปริมาณคลอรีนที่ควรใช้ขึ้นอยู่กับขนาดสระและระดับคลอรีนที่ต้องการ
  • โดยทั่วไป แนะนำให้รักษาระดับคลอรีนที่ 1-3 ppm (ส่วนในล้านส่วน) ซึ่งสามารถคำนวณได้โดยใช้สูตร: ปริมาณคลอรีนที่ต้องการ(กรัม)=ปริมาณน้ำในสระ(ลิตร) x ความเข้มข้นที่ต้องการ (ppm)/1,000

ข้อควรระวังในการใช้คลอรีน

  1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผิวหนังและดวงตา เพราะคลอรีนเป็นสารที่มีความกัดกร่อน อาจทำให้เกิดการระคายเคือง ควรสวมถุงมือและแว่นตาป้องกันทุกครั้งที่ใช้งาน
  2. ห้ามผสมคลอรีนกับสารเคมีอื่น ๆ เช่น กรดหรือแอมโมเนีย เพราะอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาที่อันตรายและระเบิดได้
  3. เก็บในที่แห้งและเย็น หลีกเลี่ยงการเก็บในที่ที่โดนแสงแดดหรืออุณหภูมิสูง เพราะอาจทำให้คลอรีนเสื่อมคุณภาพและเกิดอันตรายได้
  4. ระมัดระวังไม่ให้คลอรีนสัมผัสกับพื้นผิวที่อาจเกิดความเสียหาย เช่น ไวนิลหรือผิววัสดุที่ไม่ทนต่อสารเคมี เนื่องจากจะทำให้เกิดรอยด่าง

การใช้คลอรีนในการดูแลสระว่ายน้ำอย่างเหมาะสมจะช่วยรักษาความสะอาด ป้องกันการเกิดเชื้อโรค และให้ผู้ใช้สระว่ายน้ำได้รับความปลอดภัย

 

สั่งซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์วันนี้รับส่วนลดทันที

 

 

 

การควบคุมค่า pH ของน้ำในสระ

การควบคุมค่า pH ของน้ำในสระว่ายน้ำเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะค่า pH ที่เหมาะสมจะช่วยให้คลอรีนทำงานได้มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยป้องกันการระคายเคืองต่อผิวหนังและตาของผู้ใช้งานสระ ค่า pH ที่สมดุลจะช่วยให้ผู้ใช้สระมีความสบาย ปลอดภัย และลดความเสี่ยงจากปัญหาการกัดกร่อนหรือการสะสมของตะกรันในอุปกรณ์สระว่ายน้ำ

ความสำคัญของการควบคุมค่า pH

  • ป้องกันการระคายเคือง: ค่า pH ที่สูงเกินไป (ด่าง) หรือค่าที่ต่ำเกินไป (กรด) สามารถทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและตาได้ การรักษาค่า pH ในระดับที่เหมาะสม (7.2–7.6) ช่วยให้เกิดความสมดุลกับน้ำในสระ และลดความเป็นไปได้ของอาการแพ้และอาการแสบ
  • ประสิทธิภาพของคลอรีน: คลอรีนจะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อค่า pH อยู่ในช่วง 7.2–7.6 หากค่า pH สูงเกินไป จะลดประสิทธิภาพของคลอรีนในการฆ่าเชื้อโรค และถ้าค่า pH ต่ำเกินไป อาจทำให้คลอรีนระเหยเร็วเกินไป
  • ป้องกันการกัดกร่อน: ค่า pH ที่ไม่สมดุลสามารถทำให้เกิดการกัดกร่อนกับพื้นผิวและอุปกรณ์ในสระ เช่น ท่อ ปั๊มน้ำ และฟิลเตอร์

สารเคมีในการปรับค่า pH

  1. โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium Bicarbonate):
    ใช้เพื่อเพิ่มค่า pH ในกรณีที่ค่า pH ต่ำกว่า 7.2 โซเดียมไบคาร์บอเนตช่วยปรับค่าความเป็นด่างให้สูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และยังช่วยเพิ่มความเสถียรของค่า pH
  2. กรดไฮโดรคลอริกหรือกรดมิวริเอติก (Hydrochloric Acid หรือ Muriatic Acid):
    ใช้เพื่อปรับลดค่า pH เมื่อน้ำมีค่า pH สูงกว่า 7.6 กรดนี้จะช่วยลดค่าความเป็นด่างและช่วยควบคุมค่า pH ให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย

การวัดค่า pH และวิธีการปรับให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

  1. การวัดค่า pH:
    • ใช้ชุดทดสอบหรือเครื่องวัด pH ที่ออกแบบมาสำหรับการตรวจสอบค่าน้ำในสระ เพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำและทราบสถานะค่า pH ปัจจุบัน
    • แนะนำให้ตรวจสอบค่า pH อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง และทุกครั้งหลังจากเติมสารเคมีหรือเปลี่ยนแปลงน้ำ
  2. วิธีการปรับค่า pH ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม (7.2–7.6):
    • หากค่า pH ต่ำกว่า 7.2: เติมโซเดียมไบคาร์บอเนต โดยเริ่มต้นด้วยปริมาณที่น้อยและตรวจสอบค่าอีกครั้งหลังจากผ่านไป 2-4 ชั่วโมง
    • หากค่า pH สูงกว่า 7.6: เติมกรดไฮโดรคลอริกหรือกรดมิวริเอติกในปริมาณที่พอเหมาะ (โดยปกติจะใช้ปริมาณที่ระบุในฉลาก) และตรวจสอบค่า pH อีกครั้งหลังจากผ่านไป 2-4 ชั่วโมง
    • ควรเติมสารเคมีแต่ละครั้งอย่างระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการเติมสารเคมีในปริมาณมากเกินไป

การรักษาค่า pH ของน้ำในสระให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยให้สระว่ายน้ำมีความปลอดภัยและสะดวกสบายในการใช้งาน แต่ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ในสระและลดความต้องการในการบำรุงรักษา

 

สารป้องกันและกำจัดตะไคร่

สารป้องกันและกำจัดตะไคร่ในสระว่ายน้ำ หรือที่เรียกว่า Algaecide มีความสำคัญในการช่วยป้องกันและควบคุมการเติบโตของตะไคร่ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในสระว่ายน้ำ หากไม่จัดการ ตะไคร่จะทำให้น้ำขุ่น มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ และพื้นสระลื่น อาจเสี่ยงต่อการลื่นล้มได้ สารป้องกันตะไคร่มีอยู่หลายประเภท โดยแต่ละประเภทมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน รวมถึงวิธีการใช้งานที่เหมาะสมดังนี้:

ประเภทของสารป้องกันตะไคร่ (Algaecide)

  1. สารป้องกันตะไคร่แบบไม่มีทองแดง (Non-Copper Algaecide)
    • ไม่มีส่วนผสมของทองแดง ซึ่งเหมาะสำหรับสระที่มีระบบกรองที่ละเอียดหรือผู้ที่ไม่ต้องการให้เกิดการสะสมของโลหะในสระ
    • มีคุณสมบัติที่ดีในการควบคุมตะไคร่เขียว และอ่อนโยนต่อพื้นผิวและอุปกรณ์ในสระ
    • มักเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับสระที่ต้องการความอ่อนโยน หรือมีการใช้น้ำอย่างต่อเนื่อง
  2. สารป้องกันตะไคร่แบบมีทองแดง (Copper-Based Algaecide)
    • มีส่วนผสมของทองแดงซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดและป้องกันตะไคร่ได้ยาวนาน โดยเฉพาะการจัดการกับตะไคร่เขียวและตะไคร่น้ำเงิน
    • ต้องระมัดระวังในการใช้ เนื่องจากทองแดงอาจทำให้เกิดคราบบนพื้นผิวสระว่ายน้ำและทำให้เกิดการสะสมในระบบน้ำได้
    • ใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและไม่ควรใช้ในสระที่มีการสะสมของโลหะในน้ำสูง เนื่องจากอาจทำให้เกิดคราบน้ำบนผนังสระ

วิธีป้องกันการเกิดตะไคร่ในสระว่ายน้ำ

  1. ควบคุมระดับคลอรีนและค่า pH อย่างสม่ำเสมอ:
    ตะไคร่มักจะเติบโตได้ดีในน้ำที่มีระดับคลอรีนต่ำหรือค่า pH ไม่สมดุล การควบคุมค่าเหล่านี้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจะช่วยลดโอกาสในการเกิดตะไคร่
  2. ใช้สารป้องกันตะไคร่อย่างสม่ำเสมอ:
    การเติมสารป้องกันตะไคร่เป็นประจำจะช่วยป้องกันไม่ให้ตะไคร่เกิดขึ้นในสระ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
  3. ทำความสะอาดสระและกรองน้ำเป็นประจำ:
    ควรทำความสะอาดพื้นผิวและผนังสระอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และล้างระบบกรองน้ำเพื่อกำจัดสารอินทรีย์ที่อาจเป็นอาหารของตะไคร่

วิธีการใช้สารป้องกันตะไคร่อย่างถูกต้อง

  1. อ่านคำแนะนำบนฉลาก:
    แต่ละผลิตภัณฑ์มีความเข้มข้นและวิธีการใช้ที่แตกต่างกัน ดังนั้นควรปฏิบัติตามคำแนะนำที่ระบุไว้บนฉลาก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
  2. เติมสารป้องกันตะไคร่ตามปริมาณที่แนะนำ:
    โดยทั่วไป ควรเติมสารป้องกันตะไคร่ตามปริมาณที่แนะนำในฉลาก เพื่อป้องกันการเจือจางมากเกินไปและป้องกันไม่ให้มีสารเคมีตกค้างในสระว่ายน้ำ
  3. เติมสารป้องกันตะไคร่ในช่วงเย็นหรือตอนกลางคืน:
    แสงแดดอาจทำให้สารป้องกันตะไคร่เสื่อมสภาพได้เร็ว ดังนั้นการเติมสารในช่วงเย็นหรือตอนกลางคืนจะช่วยให้สารออกฤทธิ์ได้เต็มที่และไม่ระเหยเร็ว
  4. หลีกเลี่ยงการใช้งานสระทันทีหลังจากเติมสารเคมี:
    หลังจากเติมสารป้องกันตะไคร่ ควรปล่อยให้น้ำหมุนเวียนอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงก่อนที่ผู้ใช้จะลงไปว่ายน้ำ เพื่อให้สารทำงานเต็มที่และปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน

การใช้สารป้องกันตะไคร่อย่างเหมาะสมและการดูแลสระอย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดโอกาสการเกิดตะไคร่ ทำให้สระว่ายน้ำมีความสะอาด ปลอดภัย และดูใสสะอาดตลอดเวลา

 

สารตกตะกอน (Flocculant) และสารช่วยให้น้ำใส (Clarifier)

สารตกตะกอน (Flocculant) และ สารช่วยให้น้ำใส (Clarifier) มีบทบาทสำคัญในการทำให้น้ำในสระว่ายน้ำสะอาดและใส โดยทำงานในการกำจัดฝุ่น อนุภาคเล็กๆ และสิ่งสกปรกที่ลอยอยู่ในน้ำ ทั้งสองชนิดนี้มีการทำงานที่แตกต่างกันเล็กน้อย แต่ช่วยให้สระว่ายน้ำดูใสสะอาด น่าใช้งาน โดยมีรายละเอียดและวิธีการใช้ดังนี้:

สารตกตะกอน (Flocculant)

สารตกตะกอนทำงานโดยการจับฝุ่นและอนุภาคเล็ก ๆ ที่อยู่ในน้ำ ให้รวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้นจนจมลงไปที่ก้นสระ ทำให้สามารถกำจัดสิ่งสกปรกได้ง่ายขึ้นเมื่อดูดออกด้วยเครื่องดูดฝุ่นหรืออุปกรณ์ทำความสะอาดอื่น ๆ

วิธีการใช้สารตกตะกอน

  1. เตรียมการใช้งาน:
    ปิดระบบกรองน้ำของสระก่อนที่จะใส่สารตกตะกอน เนื่องจากการหมุนเวียนน้ำอาจทำให้สารกระจายและไม่ได้ผลตามที่ต้องการ
  2. เติมสารตกตะกอน:
    อ่านคำแนะนำบนฉลากของสารตกตะกอนและใช้ปริมาณที่เหมาะสม โดยทั่วไปจะมีการเจือจางสารก่อน แล้วเทลงในสระในบริเวณที่มีการไหลเวียนของน้ำ หรือกระจายให้ทั่วสระ
  3. รอให้สารทำงาน:
    ปล่อยสารทิ้งไว้ในน้ำประมาณ 6-8 ชั่วโมง หรือข้ามคืน เพื่อให้อนุภาคที่จับตัวกันจมลงไปที่ก้นสระ
  4. ทำความสะอาด:
    ใช้เครื่องดูดฝุ่นหรืออุปกรณ์ทำความสะอาดพื้นสระดูดเอาสิ่งสกปรกที่ตกลงก้นสระออก

ข้อควรระวัง

  • ควรปิดระบบกรองน้ำขณะใช้สารตกตะกอนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี
  • อย่าลงเล่นน้ำในช่วงที่สารตกตะกอนกำลังทำงานเพื่อความปลอดภัย

สารช่วยให้น้ำใส (Clarifier)

สารช่วยให้น้ำใสทำหน้าที่ช่วยให้อนุภาคขนาดเล็กที่ลอยอยู่ในน้ำ (ที่อาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า) จับตัวกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการกรองออกโดยระบบกรองของสระ ช่วยให้น้ำในสระดูใสและโปร่งแสงยิ่งขึ้น

วิธีการใช้สารช่วยให้น้ำใส

  1. เปิดระบบกรองน้ำ:
    เพื่อให้สารช่วยให้น้ำใสสามารถไหลเวียนไปทั่วสระและช่วยให้อนุภาคจับตัวกันจนสามารถกรองออกได้
  2. เติมสารช่วยให้น้ำใส:
    อ่านคำแนะนำบนฉลากเพื่อใช้งานในปริมาณที่ถูกต้อง เทสารช่วยให้น้ำใสลงในน้ำในขณะที่ระบบกรองกำลังทำงาน เพื่อกระจายสารให้ทั่วสระ
  3. ปล่อยให้ระบบกรองทำงานต่อเนื่อง:
    โดยทั่วไปควรปล่อยให้ระบบกรองทำงานต่อเนื่อง 8-12 ชั่วโมง เพื่อให้อนุภาคที่จับตัวกันถูกกรองออกจนหมด และตรวจสอบการทำงานของระบบกรองให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

ข้อควรระวัง

  • ควรทำการล้างระบบกรองน้ำหลังจากใช้งานสารช่วยให้น้ำใสเสร็จสิ้น เพื่อป้องกันไม่ให้กรองอุดตัน

การเลือกใช้สารตกตะกอนและสารช่วยให้น้ำใส

ทั้งสารตกตะกอนและสารช่วยให้น้ำใสสามารถใช้ร่วมกันได้ขึ้นอยู่กับสภาพของน้ำในสระ หากสระมีอนุภาคขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ ควรเริ่มต้นด้วยการใช้สารตกตะกอน และหลังจากนั้นใช้สารช่วยให้น้ำใสเพื่อเพิ่มความโปร่งใสของน้ำ

การใช้สารเคมีทั้งสองชนิดนี้จะช่วยให้สระว่ายน้ำดูสะอาดใส น่าใช้งาน ลดปัญหาน้ำขุ่นและสิ่งสกปรกที่ลอยอยู่ในน้ำ

 

สารควบคุมค่าความกระด้างของน้ำ

ค่าความกระด้างของน้ำ หมายถึงปริมาณของแร่ธาตุ โดยเฉพาะแคลเซียมและแมกนีเซียม ที่ละลายอยู่ในน้ำ หากมีปริมาณแร่ธาตุเหล่านี้มากเกินไป น้ำจะมีค่าความกระด้างสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาในสระว่ายน้ำ เช่น คราบหินปูนที่เกาะติดตามพื้นผิวสระ ผนัง และอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงอาจทำให้ระบบกรองน้ำอุดตันหรือเสื่อมสภาพเร็วยิ่งขึ้น

เหตุผลที่ต้องควบคุมค่าความกระด้างของน้ำ

การควบคุมค่าความกระด้างในสระว่ายน้ำมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจาก:

  1. ป้องกันการเกิดคราบหินปูน:
    น้ำที่มีความกระด้างสูงมักทำให้เกิดคราบขาวจากหินปูนที่ติดตามพื้นผิวสระหรือผนัง ซึ่งทำให้สระดูไม่สะอาดและลดความน่าสนใจ
  2. รักษาสภาพอุปกรณ์และระบบกรอง:
    ความกระด้างสูงสามารถทำให้แร่ธาตุตกตะกอนในระบบท่อและอุปกรณ์กรอง ส่งผลให้เกิดการอุดตันและลดประสิทธิภาพการทำงาน
  3. เพิ่มความสะดวกสบายในการว่ายน้ำ:
    น้ำที่มีความกระด้างสูงอาจทำให้รู้สึกระคายเคืองต่อผิวหนังและผม ทำให้ไม่สบายตัวขณะว่ายน้ำ

การใช้สารเพื่อควบคุมค่าความกระด้างของน้ำ

การควบคุมค่าความกระด้างของน้ำในสระว่ายน้ำทำได้โดยการใช้สารเพิ่มหรือลดความกระด้าง เพื่อปรับสมดุลแร่ธาตุในน้ำให้เหมาะสม โดยทั่วไป ค่าความกระด้างที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 200–400 ppm (ส่วนในล้านส่วน) ซึ่งทำให้ระบบการทำงานของสระมีประสิทธิภาพสูงสุดและลดความเสี่ยงของการเกิดคราบหินปูน

สารเพิ่มความกระด้าง (Calcium Hardness Increaser)

ใช้เมื่อค่าความกระด้างต่ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งอาจทำให้น้ำในสระกัดกร่อนผิวของวัสดุต่าง ๆ ในสระได้ การใช้สารเพิ่มความกระด้างเป็นวิธีแก้ปัญหา โดยจะเพิ่มปริมาณแคลเซียมให้พอเหมาะกับค่ามาตรฐาน

  • วิธีการใช้: อ่านคำแนะนำการใช้บนฉลากผลิตภัณฑ์เพื่อหาปริมาณที่เหมาะสม โดยมักจะใช้ตามปริมาณน้ำในสระและค่าความกระด้างที่ต้องการเพิ่ม
  • ข้อควรระวัง: อย่าใส่มากเกินไป เนื่องจากอาจทำให้น้ำกระด้างจนเกินค่ามาตรฐาน ส่งผลให้เกิดคราบหินปูนได้

สารลดความกระด้าง

ใช้เมื่อน้ำในสระมีค่าความกระด้างสูงเกินไปจนเสี่ยงที่จะเกิดคราบหินปูนบนพื้นผิวหรือในระบบท่อของสระว่ายน้ำ

  • วิธีการใช้: ใช้สารลดความกระด้างหรือการเติมน้ำใหม่ที่มีค่าความกระด้างต่ำ เพื่อเจือจางความกระด้างในสระให้กลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม
  • ข้อควรระวัง: ควรคำนวณปริมาณน้ำใหม่ที่เติมอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้กระทบต่อสมดุลของสารเคมีในสระ

การตรวจสอบและรักษาค่าความกระด้างของน้ำ

ควรทำการตรวจสอบค่าความกระด้างของน้ำเป็นประจำ โดยใช้ชุดทดสอบหรือนำตัวอย่างน้ำไปทดสอบที่ร้านสระว่ายน้ำ วิธีนี้จะช่วยให้มั่นใจว่าน้ำในสระมีค่าความกระด้างที่เหมาะสม ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป และช่วยป้องกันการเกิดคราบหินปูนหรือปัญหาอื่น ๆ ในสระ

 

สารช่วยปรับสมดุลน้ำและบำรุงรักษาอุปกรณ์ในสระ

สารช่วยปรับสมดุลน้ำและบำรุงรักษาอุปกรณ์ในสระ มีความสำคัญในการรักษาความสมดุลของน้ำและป้องกันการเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ต่าง ๆ ในสระว่ายน้ำ เช่น เครื่องกรองน้ำ ระบบท่อ และวัสดุอื่น ๆ เพื่อให้อุปกรณ์เหล่านี้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และน้ำในสระคงความสะอาด ปลอดภัยจากการปนเปื้อน

1. สารป้องกันสนิมและการกัดกร่อนของอุปกรณ์ในสระ

การใช้สารป้องกันสนิมและการกัดกร่อนในสระว่ายน้ำจะช่วยลดความเสี่ยงที่อุปกรณ์และส่วนประกอบของสระจะเกิดการเสียหายจากการสัมผัสกับน้ำที่มีค่า pH ไม่เหมาะสม หรือจากการสะสมของแร่ธาตุที่อาจทำลายพื้นผิววัสดุต่าง ๆ

ประเภทของสารเคมีที่ใช้ป้องกันสนิมและการกัดกร่อน

  • สารป้องกันสนิม (Rust Inhibitors):
    สารนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เหล็กหรือโลหะในอุปกรณ์เกิดสนิมจากการสัมผัสกับน้ำที่มีความชื้นสูง ซึ่งมักเกิดจากการสัมผัสกับน้ำที่มีความเป็นกรดหรือเบสสูง หรือมีความกระด้างสูง

    • วิธีการใช้: เพิ่มสารป้องกันสนิมลงในน้ำของสระตามปริมาณที่แนะนำจากผู้ผลิต เพื่อป้องกันไม่ให้โลหะในระบบท่อและอุปกรณ์เกิดการกัดกร่อน
    • ข้อควรระวัง: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสารป้องกันสนิมไม่ขัดแย้งกับสารเคมีอื่น ๆ ในสระที่ใช้ในการรักษาความสะอาดน้ำ
  • สารปรับสภาพน้ำ (Scale Inhibitors):
    สารนี้ช่วยป้องกันการสะสมของแร่ธาตุ เช่น แคลเซียม และแมกนีเซียม ที่อาจตกตะกอนและกลายเป็นคราบหินปูนภายในระบบท่อและเครื่องกรอง

    • วิธีการใช้: ใช้สารปรับสภาพน้ำตามคำแนะนำของผู้ผลิต เพื่อป้องกันการสะสมของแร่ธาตุที่อาจทำให้ระบบท่อและเครื่องกรองเกิดการอุดตัน

2. การใช้สารเคมีเพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องกรองน้ำและระบบท่อ

เครื่องกรองน้ำและระบบท่อในสระว่ายน้ำมีบทบาทสำคัญในการรักษาความสะอาดของน้ำ แต่หากไม่ได้รับการบำรุงรักษาที่ดี เครื่องกรองอาจมีประสิทธิภาพลดลงและระบบท่ออาจอุดตัน ทำให้การทำงานของระบบกรองน้ำมีประสิทธิภาพต่ำลง

สารเคมีในการบำรุงรักษาระบบกรองน้ำ

  • สารทำความสะอาดตัวกรอง (Filter Cleaner):
    การทำความสะอาดเครื่องกรองน้ำเป็นสิ่งสำคัญในการยืดอายุการใช้งานของเครื่องกรอง สารทำความสะอาดตัวกรองจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่ติดค้างอยู่ในตัวกรอง เช่น ตะกอน และน้ำมันที่สะสม ซึ่งจะทำให้เครื่องกรองสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

    • วิธีการใช้: สารทำความสะอาดตัวกรองมักจะถูกเติมลงในตัวกรองตามคำแนะนำของผู้ผลิต หลังจากนั้นจะมีการล้างและทำความสะอาดตามขั้นตอนที่กำหนด
    • ข้อควรระวัง: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าใช้สารที่เหมาะสมกับประเภทของตัวกรอง (เช่น ตัวกรองทรายหรือฟิลเตอร์คาร์ทริดจ์)

สารช่วยบำรุงรักษาระบบท่อ

  • สารลดการสะสมของตะกรัน (Scale Reducers):
    สารนี้จะช่วยลดการสะสมของแร่ธาตุและตะกรันที่อาจเกิดขึ้นในท่อและระบบกรองน้ำ ซึ่งอาจทำให้เกิดการอุดตันและส่งผลให้การหมุนเวียนน้ำลดลง

    • วิธีการใช้: เติมสารลดการสะสมของตะกรันลงในระบบกรองน้ำและท่อเมื่อจำเป็น โดยจะช่วยให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้สารเคมีในการบำรุงรักษาเครื่องกรองและระบบท่อ

  • ควรเลือกสารเคมีที่เหมาะสมกับประเภทของระบบกรองน้ำและท่อในสระ โดยทั่วไปจะมีการแนะนำให้ใช้สารเคมีเหล่านี้ในการบำรุงรักษาทุก ๆ เดือน หรือทุกครั้งที่ทำการล้างระบบกรอง
  • ควรตรวจสอบการทำงานของเครื่องกรองและระบบท่อหลังจากใช้สารเคมีบำรุงรักษาเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสารเคมีที่เหลืออยู่ในระบบ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อคุณภาพน้ำในสระ

สรุป

การใช้สารเคมีในการ ป้องกันสนิมและการกัดกร่อน รวมถึง บำรุงรักษาเครื่องกรองน้ำและระบบท่อ เป็นการรักษาสมดุลและยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ในสระว่ายน้ำ สารเคมีเหล่านี้ช่วยให้สระว่ายน้ำมีประสิทธิภาพการทำงานที่สูงและลดปัญหาการเกิดอุปสรรคในระบบกรองน้ำและท่ออย่างมีประสิทธิภาพ

 

ขั้นตอนการวัดค่าและปรับระดับสารเคมี

ขั้นตอนการวัดค่าและปรับระดับสารเคมี ในสระว่ายน้ำเป็นกระบวนการที่สำคัญในการรักษาคุณภาพน้ำให้เหมาะสมและปลอดภัย การตรวจสอบค่า pH, คลอรีน และสารเคมีอื่น ๆ ในสระช่วยให้สามารถปรับสมดุลน้ำได้อย่างถูกต้อง โดยมีขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้:

1. การตรวจสอบคุณภาพน้ำ

การตรวจสอบคุณภาพน้ำในสระเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าน้ำในสระมีความปลอดภัยและสะอาดสำหรับผู้ใช้

เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจสอบ

  • เครื่องทดสอบค่า pH: เครื่องทดสอบค่า pH จะช่วยให้สามารถวัดระดับความเป็นกรด-ด่างของน้ำในสระได้ ซึ่งค่า pH ที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 7.2–7.6 หากค่า pH สูงหรือต่ำเกินไปจะส่งผลกระทบต่อผิวหนังและดวงตาของผู้ใช้
    • วิธีการใช้งาน: ใช้เครื่องมือวัดค่า pH แบบดิจิทัลหรือเครื่องทดสอบที่ใช้สารเคมี เช่น หยดน้ำยาทดสอบลงในตัวอย่างน้ำจากสระแล้วเปรียบเทียบกับแผนผังสีที่ให้มาพร้อมกับชุดทดสอบ
    • การบันทึกผล: ควรบันทึกค่าที่ได้ในแต่ละครั้งและเปรียบเทียบกับค่าที่เหมาะสม เพื่อให้รู้ว่าเมื่อไหร่ควรปรับค่า pH
  • เครื่องทดสอบค่า คลอรีน: คลอรีนเป็นสารฆ่าเชื้อที่ใช้ในสระว่ายน้ำ การตรวจสอบระดับคลอรีนในน้ำจะช่วยให้สามารถรักษาความสะอาดและปลอดภัยจากการติดเชื้อ
    • วิธีการใช้งาน: ใช้เครื่องมือทดสอบคลอรีน เช่น เครื่องวัดคลอรีนแบบดิจิทัล หรือชุดทดสอบที่มีแถบทดสอบคลอรีน โดยทำการแช่แถบทดสอบลงในน้ำแล้วอ่านค่าในเครื่องหรือเปรียบเทียบกับแผนผังสีที่ให้มา
    • ค่าแนะนำ: ค่า คลอรีน ที่เหมาะสมในน้ำสระคือ 1–3 ppm (parts per million) หากค่าเกินหรือต่ำกว่านี้ อาจทำให้เกิดปัญหาด้านความสะอาดและการฆ่าเชื้อ
  • เครื่องทดสอบสารเคมีอื่น ๆ: นอกจากค่า pH และคลอรีนแล้ว ยังสามารถทดสอบค่าอื่น ๆ เช่น ความกระด้างของน้ำ, อัลคาไลนิตี้, การมีอยู่ของตะไคร่หรือสิ่งปนเปื้อน ที่อาจเกิดขึ้นในน้ำ
    • เครื่องทดสอบเหล่านี้มักจะมีวิธีการใช้และการอ่านผลที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับประเภทของสารเคมีที่ทดสอบ

2. การปรับระดับสารเคมีในน้ำ

เมื่อได้ผลการทดสอบจากเครื่องมือแล้ว หากค่าใดไม่อยู่ในช่วงที่เหมาะสม จำเป็นต้องปรับสารเคมีในน้ำเพื่อให้กลับสู่ระดับที่ปลอดภัยและเหมาะสม

วิธีการปรับค่า pH

  • หากค่า pH สูงเกินไป (มากกว่า 7.6), ใช้ กรดมิวริเอติก หรือ กรดไฮโดรคลอริก เพื่อลดค่า pH
  • หากค่า pH ต่ำเกินไป (น้อยกว่า 7.2), ใช้ โซเดียมไบคาร์บอเนต หรือ โซดาแอช เพื่อเพิ่มค่า pH

วิธีการปรับระดับคลอรีน

  • หากค่า คลอรีนต่ำ (ต่ำกว่า 1 ppm), เติม คลอรีนชนิดผง, คลอรีนเม็ด, หรือ คลอรีนน้ำ ลงไปในสระเพื่อเพิ่มระดับคลอรีน
  • หากค่า คลอรีนสูง (มากกว่า 3 ppm), อาจจะต้องปล่อยให้น้ำในสระระเหยออกไปบ้าง หรือใช้ สารทำลายคลอรีน (Dechlorinator) เพื่อลดระดับคลอรีน

3. การบันทึกและติดตามคุณภาพน้ำ

การบันทึกข้อมูลการตรวจสอบและการปรับระดับสารเคมีในน้ำช่วยให้สามารถติดตามและประเมินสถานะของน้ำในสระในระยะยาวได้

วิธีการบันทึกข้อมูล

  • บันทึกข้อมูลประจำวัน/สัปดาห์: เขียนบันทึกค่า pH, ค่าคลอรีน, และค่าอื่น ๆ ทุกครั้งที่ทำการทดสอบ โดยสามารถใช้แผ่นบันทึกที่มีช่องสำหรับกรอกข้อมูลต่าง ๆ ได้
  • ติดตามแนวโน้ม: เมื่อบันทึกข้อมูลในระยะยาว จะช่วยให้เห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของน้ำในสระได้ เช่น ค่า pH ที่อาจเริ่มลดลงหรือเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งช่วยให้คาดการณ์และเตรียมการปรับสารเคมีได้ล่วงหน้า

การใช้ซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชัน

ในบางกรณี การใช้ซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันที่สามารถบันทึกและติดตามผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำอาจช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น โดยซอฟต์แวร์เหล่านี้มักจะให้ข้อมูลที่มีรายละเอียดมากขึ้นและสามารถให้คำแนะนำในการปรับสารเคมีตามผลการทดสอบ

4. การตรวจสอบแนวโน้มและการปรับปรุง

การติดตามคุณภาพน้ำในระยะยาวช่วยให้สามารถมองเห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของน้ำ เช่น ค่า pH ที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง หรือคลอรีนที่อาจมีปริมาณสูงหรือต่ำเกินไป ซึ่งช่วยให้สามารถปรับปรุงและแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที

การรักษาคุณภาพน้ำในสระให้ดีอยู่เสมอไม่เพียงแค่ป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพ แต่ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์และรักษาความสะอาดของน้ำในระยะยาวได้ด้วย

 

ความปลอดภัยในการใช้สารเคมีสำหรับสระว่ายน้ำ

ความปลอดภัยในการใช้สารเคมีสำหรับสระว่ายน้ำ เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องให้ความใส่ใจอย่างยิ่ง เนื่องจากสารเคมีที่ใช้ในการดูแลสระว่ายน้ำบางชนิดอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากใช้หรือจัดเก็บไม่ถูกต้อง การปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างรอบคอบสามารถลดความเสี่ยงและป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้

1. วิธีการจัดเก็บและการใช้สารเคมีอย่างปลอดภัย

การจัดเก็บสารเคมีให้ปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันอุบัติเหตุ

การจัดเก็บสารเคมี

  • เก็บในที่แห้งและเย็น: สารเคมีสำหรับสระควรเก็บในที่แห้งและเย็น ป้องกันการถูกความร้อนหรือความชื้นที่อาจทำให้สารเคมีเสื่อมสภาพหรือเกิดปฏิกิริยาที่อันตราย
  • เก็บให้ห่างจากเด็กและสัตว์เลี้ยง: ควรเก็บสารเคมีในพื้นที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้จากเด็กหรือสัตว์เลี้ยง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการสัมผัส
  • แยกสารเคมีที่ไม่เข้ากัน: สารเคมีบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากันและเกิดอันตราย เช่น คลอรีนไม่ควรเก็บไว้ใกล้สารเคมีที่มีความเป็นกรดสูง เช่น กรดไฮโดรคลอริก
  • ใช้ภาชนะที่ทนทาน: สารเคมีควรเก็บในภาชนะที่ทนทานและปิดสนิท เพื่อป้องกันการรั่วไหลหรือการระเหยของสารเคมี
  • ติดป้ายเตือน: ควรติดป้ายที่ชัดเจนระบุชื่อสารเคมีและสัญลักษณ์เตือนภัยที่เหมาะสม

การใช้งานสารเคมี

  • อ่านคำแนะนำ: ก่อนใช้งานสารเคมีควรอ่านคำแนะนำบนฉลากหรือคู่มืออย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าใช้อย่างถูกต้อง
  • ใช้อุปกรณ์ป้องกัน: ควรสวมถุงมือยาง, แว่นตานิรภัย, และหน้ากากอนามัยเมื่อใช้งานสารเคมีเพื่อป้องกันการสัมผัสโดยตรง
  • ไม่ผสมสารเคมีโดยไม่จำเป็น: ควรหลีกเลี่ยงการผสมสารเคมีหลายชนิดโดยไม่มีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากบางสารอาจทำปฏิกิริยากันและเกิดสารพิษที่อันตราย

2. ข้อควรระวังและการป้องกันการสัมผัสสารเคมีที่อาจเกิดอันตราย

การสัมผัสสารเคมีโดยไม่ตั้งใจอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรืออันตรายต่อร่างกายได้ ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ

การป้องกันการสัมผัสสารเคมี

  • สวมอุปกรณ์ป้องกัน: สวมถุงมือยาง, แว่นตานิรภัย, และชุดป้องกันในกรณีที่ต้องจัดการสารเคมีโดยตรง
  • เก็บสารเคมีในที่ปลอดภัย: วางสารเคมีในภาชนะที่มีฝาปิดและในที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้จากผู้ไม่เกี่ยวข้อง
  • ระวังการกระจายสารเคมี: เมื่อเปิดถุงหรือภาชนะสารเคมี ควรทำด้วยความระมัดระวังเพื่อไม่ให้สารเคมีฟุ้งกระจายหรือสัมผัสกับร่างกาย

การป้องกันการสัมผัสในกรณีที่เกิดเหตุการณ์

  • หลีกเลี่ยงการสูดดม: หากสูดดมสารเคมีโดยไม่ตั้งใจ ควรรีบออกจากบริเวณที่มีกลิ่นสารเคมีไปยังที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผิวหนังและตา: หากสารเคมีสัมผัสกับผิวหนังหรือดวงตา ควรล้างออกทันทีด้วยน้ำสะอาดและควรรับคำแนะนำจากแพทย์หากเกิดการระคายเคืองหรืออาการผิดปกติ

3. การปฐมพยาบาลเบื้องต้นหากเกิดการสัมผัสสารเคมีโดยไม่ตั้งใจ

หากเกิดการสัมผัสสารเคมีโดยไม่ตั้งใจหรือเกิดอุบัติเหตุ ควรปฏิบัติตามขั้นตอนการปฐมพยาบาลเบื้องต้นดังนี้:

การสัมผัสกับผิวหนัง

  • ล้างด้วยน้ำสะอาดทันที: หากสารเคมีสัมผัสกับผิวหนัง ให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาดมากๆ อย่างน้อย 15-20 นาที เพื่อขจัดสารเคมีออกจากผิวหนัง
  • ถอดเสื้อผ้าที่สัมผัสสารเคมี: หากสารเคมีสัมผัสกับเสื้อผ้า ให้ถอดเสื้อผ้าที่ถูกสารเคมีออกและล้างบริเวณที่สัมผัสให้สะอาด

การสัมผัสกับดวงตา

  • ล้างตาด้วยน้ำสะอาด: หากสารเคมีเข้าตา ให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันทีเป็นเวลา 15-20 นาที
  • ไม่ขยี้ตา: ห้ามขยี้ตาเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้สารเคมีเข้าไปในตาลึกขึ้น
  • ไปพบแพทย์: หากเกิดอาการระคายเคืองอย่างรุนแรง หรือไม่หายดี ควรรีบไปพบแพทย์

การสูดดมสารเคมี

  • ออกจากบริเวณที่มีกลิ่น: หากสูดดมสารเคมี ควรรีบออกจากพื้นที่ที่มีกลิ่นและไปยังบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
  • หากหายใจลำบาก: ให้รีบโทรขอความช่วยเหลือจากแพทย์หรือหน่วยกู้ภัย

การกลืนสารเคมี

  • ไม่ให้คนไข้อาเจียน: หากสารเคมีถูกกลืนไม่ควรให้ผู้ป่วยอาเจียนออกมา เพราะอาจทำให้สารเคมีกลับเข้าปอด
  • ดื่มน้ำหรือดื่มนมหากไม่เป็นพิษ: หากเป็นสารเคมีที่ไม่เป็นพิษรุนแรง เช่น น้ำยาบางชนิด สามารถให้ดื่มน้ำหรือนมไปก่อนที่จะไปพบแพทย์

สรุป

การใช้งานและการจัดเก็บสารเคมีอย่างปลอดภัยในสระว่ายน้ำเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ต้องคำนึงถึงการป้องกันอันตรายจากการสัมผัสสารเคมี และหมั่นตรวจสอบการใช้งานอยู่เสมอ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นและรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้งาน

 

ตารางการดูแลรักษาน้ำในสระและการใช้สารเคมี

การดูแลรักษาน้ำในสระว่ายน้ำและการใช้สารเคมีอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้สระสะอาดและปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ การจัดตารางการใช้สารเคมีตามสภาพอากาศ ฤดูกาล และการใช้งานของสระช่วยให้คุณดูแลสระได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยสามารถแบ่งตารางการดูแลรักษาได้ดังนี้

ตารางการดูแลรักษาน้ำในสระและการใช้สารเคมี

วัน/ช่วงเวลากิจกรรมสารเคมีที่ใช้คำแนะนำเพิ่มเติม
ทุกสัปดาห์การตรวจสอบและปรับสมดุลน้ำตรวจสอบค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH), คลอรีน, ความกระด้าง, และค่าความกระจ่างของน้ำ
วันจันทร์ตรวจสอบและปรับค่า pHโซเดียมไบคาร์บอเนต (เพิ่ม pH) หรือกรดมิวริเอติก (ลด pH)ตรวจสอบให้ค่า pH อยู่ในช่วง 7.2–7.6
วันพุธตรวจสอบและเติมคลอรีนคลอรีนชนิดผง/น้ำ/เม็ดเติมคลอรีนให้เหมาะสมตามปริมาณน้ำในสระ
วันศุกร์ตรวจสอบค่าความกระด้างและความใสของน้ำสารควบคุมความกระด้าง (Calcium Hardness Increaser/Reducer)ปรับความกระด้างให้เหมาะสมเพื่อป้องกันการเกิดคราบหินปูน
ทุกเดือนการตรวจสอบและบำรุงรักษาสระอย่างลึกซึ้งทำความสะอาดอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องกรอง, หัวดูดตะกอน และสกิมเมอร์
ทุกเดือนล้างเครื่องกรองน้ำล้างกรองด้วยน้ำและตรวจสอบการทำงานของระบบท่อ
ในช่วงฤดูร้อนการเพิ่มสารป้องกันตะไคร่สารป้องกันตะไคร่ (Algaecide)สารป้องกันตะไคร่ควรใช้ในช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อน และมีการใช้งานสระบ่อย
ในช่วงฤดูฝนการใช้สารช่วยให้น้ำใสและตกตะกอนสารช่วยให้น้ำใส (Clarifier) และสารตกตะกอน (Flocculant)ช่วยกำจัดสิ่งสกปรกที่มองไม่เห็นและอนุภาคที่ลอยอยู่ในน้ำ
ฤดูกาลที่มีฝุ่นการใช้สารช่วยบำรุงรักษาระบบท่อและป้องกันการเกิดสนิมสารป้องกันการกัดกร่อน (Metal Sequestrant)ใช้สารป้องกันสนิมและการกัดกร่อนในช่วงที่มีฝุ่นหรือสารปนเปื้อนในอากาศมาก

คำแนะนำในการทำความสะอาดและบำรุงรักษาสระว่ายน้ำอย่างสม่ำเสมอ

การทำความสะอาดและบำรุงรักษาสระว่ายน้ำเป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สระสะอาดและน้ำมีคุณภาพที่ดี:

  1. ทำความสะอาดสระอย่างสม่ำเสมอ:
    • ใช้เครื่องดูดตะกอน (vacuum) เพื่อล้างพื้นสระจากตะกอนและสิ่งสกปรกที่ตกค้าง
    • เช็ดผนังสระและพื้นสระเพื่อกำจัดคราบสกปรกและตะไคร่ที่อาจเกิดขึ้น
    • ตรวจสอบและทำความสะอาดสกิมเมอร์ทุกวัน เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกเข้าไปสะสมในระบบกรองน้ำ
  2. ทำความสะอาดและดูแลอุปกรณ์:
    • ตรวจสอบและทำความสะอาดเครื่องกรองน้ำทุกเดือน เพื่อล้างฝุ่นและตะกอนที่สะสมในกรอง
    • ตรวจสอบการทำงานของปั๊มและท่อให้ไม่เกิดการรั่วซึมหรือความผิดปกติ
    • บำรุงรักษาระบบน้ำหรือล้างท่อทุกๆ 6 เดือนเพื่อป้องกันการสะสมของสิ่งสกปรกและการเกิดคราบหินปูน
  3. บันทึกข้อมูลคุณภาพน้ำ:
    • บันทึกผลการตรวจสอบค่า pH, คลอรีน, และความกระด้างของน้ำอย่างสม่ำเสมอ
    • ติดตามแนวโน้มของคุณภาพน้ำในสระเพื่อปรับแผนการดูแลรักษาให้เหมาะสม
    • ตรวจสอบค่า pH, ความกระด้าง, และระดับคลอรีนตามช่วงเวลา เช่น ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ควรอยู่ในช่วง 7.2–7.6, คลอรีนในช่วง 1–3 ppm (parts per million)
  4. การดูแลช่วงฤดูร้อนและฝน:
    • ฤดูร้อน: เพิ่มการใช้สารเคมีที่ช่วยป้องกันการเกิดตะไคร่และเพิ่มคลอรีนในการฆ่าเชื้อโรค
    • ฤดูฝน: การตรวจสอบระบบกรองและการทำความสะอาดระบบท่อให้สะอาดจากสิ่งสกปรกที่อาจเข้ามาจากฝนตก

สรุป

การใช้สารเคมีอย่างมีระเบียบและการทำความสะอาดสระอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยรักษาคุณภาพน้ำให้ดีอยู่เสมอ ป้องกันปัญหาต่าง ๆ เช่น ตะไคร่ น้ำขุ่น หรือการกัดกร่อนของอุปกรณ์ ควรปรับการดูแลให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและการใช้งานของสระ เพื่อให้การดูแลสระว่ายน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

 

ติดต่อสอบถามขอมูลเพิ่มเติมทางไลน์เลือกซื้อสินค้า

หากสนใจสั่งซื้อ อุปกรณ์สระว่ายน้ำ สามารถติดต่อ เวิลด์พูลส์ ดีเวลล็อปเมนท์ ผู้นําด้านการจําหน่าย อุปกรณ์สระว่ายน้ำทุกยี่ห้อ Emaux , Astral Pool, Hayward , Raion , Jacuzzi , Kripsol , Pool & Spa , Dolphin ด้วยความหลากหลาย Brand ของสินค้าและแต่ละประเภทของสินค้า ถังกรองสระว่ายน้ำ ปั๊มสระว่ายน้ำ เครื่องเกลือสระว่ายน้ำ ไฟใต้น้ำ Fitting อุปกรณ์ทำความสะอาดสระว่ายน้ำ เครื่องดูดตะกอนอัตโนมัติ และ เคมีสระว่ายน้ำ คลอรีน 90 % คลอรีน 70 % น้ำยากำจัดตะไคร่น้ำ Swimtrine Pooltrine  สารตกตะกอน ทำให้น้ำสระว่ายน้ำใส  สารพัดด้านเคมี เวิลด์พูลส์ ดีเวลล็อปเมนท์ พร้อมให้บริการและให้ปรึกษากับลูกค้าทุกท่าน

บริษัท เวิลด์พูลส์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด