สระว่ายน้ำแบบเกลือ vs สระน้ำคลอรีน อันไหนดีกว่ากัน?

สระว่ายน้ำแบบเกลือ vs สระน้ำคลอรีน อันไหนดีกว่ากัน? การเลือกประเภทของสระว่ายน้ำที่เหมาะสมกับบ้านหรือสถานที่ของคุณไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเลือกว่าจะใช้ สระว่ายน้ำแบบเกลือ หรือ สระน้ำคลอรีน ทั้งสองประเภทนี้มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป ดังนั้นการเลือกใช้สระที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับความต้องการและวิธีการดูแลรักษาของคุณ

สระว่ายน้ำแบบเกลือ (Saltwater Pool)

สระว่ายน้ำแบบเกลือ (Saltwater Pool) เป็นระบบที่ใช้ เกลือ เป็นตัวช่วยในการสร้าง คลอรีนธรรมชาติ ผ่านระบบ Salt Chlorinator ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทำหน้าที่แยกเกลือ (Sodium Chloride) ออกเป็นคลอรีนในน้ำโดยอัตโนมัติ เพื่อฆ่าเชื้อโรคและรักษาความสะอาดของน้ำในสระคล้ายกับการใช้คลอรีนในสระน้ำทั่วไป แต่จะไม่ต้องเติมคลอรีนในรูปแบบสารเคมีอย่างต่อเนื่อง

การทำงานของระบบ Salt Chlorinator:

1. เติมเกลือลงในน้ำ: ขั้นตอนแรกคือการเติมเกลือที่มีความบริสุทธิ์สูงลงในน้ำในระดับที่เหมาะสม โดยจะไม่ทำให้น้ำเค็มเกินไป
2. การแยกเกลือเป็นคลอรีน: ระบบ Salt Chlorinator จะทำหน้าที่แยกเกลือในน้ำออกเป็น คลอรีน (Chlorine) ด้วยกระบวนการที่เรียกว่า Electrolysis (การแยกสารด้วยกระแสไฟฟ้า)
3. คลอรีนฆ่าเชื้อโรค: คลอรีนที่ได้จากกระบวนการนี้จะมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรคและช่วยทำให้สระน้ำสะอาดปลอดภัยจากแบคทีเรียและสิ่งสกปรกต่างๆ
4. การทำงานอย่างต่อเนื่อง: กระบวนการนี้จะทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่จำเป็นต้องเติมคลอรีนอีก เพราะระบบจะสร้างคลอรีนเองจากเกลือในน้ำ

ข้อดีของสระว่ายน้ำแบบเกลือ:

1. ลดการใช้สารเคมี:
   ระบบสระว่ายน้ำแบบเกลือช่วยลดการใช้คลอรีนในรูปแบบสารเคมี เนื่องจากเกลือจะทำการผลิตคลอรีนเองโดยอัตโนมัติผ่านกระบวนการที่เรียกว่า electrolysis (การแยกสารด้วยกระแสไฟฟ้า). ทำให้ไม่ต้องเติมคลอรีนบ่อยๆ ซึ่งไม่เพียงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อคลอรีน แต่ยังลดความเสี่ยงจากสารเคมีที่อาจเกิดผลกระทบกับสุขภาพหรือสิ่งแวดล้อม.
2. น้ำอ่อนโยนต่อผิวหนังและดวงตา:
   สระว่ายน้ำเกลือมีความอ่อนโยนมากกว่าสระคลอรีนทั่วไป น้ำในสระเกลือไม่ทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคืองดวงตา เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาผิวแห้งและอาการระคายเคืองจากคลอรีนในน้ำ.
3. ไม่มีกลิ่นคลอรีน:
   การใช้เกลือแทนคลอรีนช่วยลดกลิ่นคลอรีนที่รุนแรง ซึ่งบางครั้งอาจทำให้รู้สึกไม่สบายใจ โดยน้ำในสระเกลือจะมีกลิ่นที่สดชื่นและสะอาดมากขึ้น เมื่อเทียบกับน้ำในสระคลอรีนที่มักจะมีกลิ่นคลอรีนค่อนข้างชัดเจน.
4. บำรุงผิว:
   เกลือมีคุณสมบัติในการบำรุงผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและไม่แห้งแตกเหมือนการว่ายน้ำในสระคลอรีน ซึ่งอาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคือง เกลือในน้ำจะช่วยบำรุงผิวให้ดูสุขภาพดีและนุ่มนวลขึ้น, ทำให้การว่ายน้ำในสระเกลือมีประโยชน์เพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวไปในตัว.

ข้อเสียของสระว่ายน้ำแบบเกลือ:

1. ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูง: การติดตั้งระบบเกลือมักมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่สูงกว่าการติดตั้งระบบคลอรีนทั่วไป
2. ต้องบำรุงรักษาเฉพาะ: ระบบเกลือต้องได้รับการดูแลและทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การทำงานของระบบคลอรีนมีประสิทธิภาพ
3. ค่าใช้จ่ายไฟฟ้า: ระบบเกลือต้องใช้ไฟฟ้าในการผลิตคลอรีน ซึ่งอาจเพิ่มค่าไฟฟ้ารายเดือน

สระน้ำคลอรีน (Chlorine Pool)

สระน้ำคลอรีน (Chlorine Pool) เป็นหนึ่งในระบบสระว่ายน้ำที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยใช้ สารเคมีคลอรีน ในการฆ่าเชื้อโรคและรักษาความสะอาดของน้ำในสระ ซึ่งคลอรีนจะช่วยทำลายแบคทีเรีย, ไวรัส, และสิ่งสกปรกต่างๆ ที่อาจปนเปื้อนในน้ำ ทำให้สระว่ายน้ำสะอาดและปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน

การทำงานของสระน้ำคลอรีน:

1. การเติมคลอรีน: คลอรีนจะถูกเติมลงในน้ำสระว่ายน้ำ โดยสามารถเติมได้ในรูปแบบของ น้ำคลอรีน (Liquid Chlorine), คลอรีนเม็ด (Chlorine Tablets) หรือ คลอรีนผง (Chlorine Granules)
2. ฆ่าเชื้อโรค: เมื่อคลอรีนถูกเติมลงในน้ำแล้ว มันจะทำปฏิกิริยากับสิ่งสกปรกและเชื้อโรคในน้ำ ทำให้ฆ่าเชื้อและบำรุงรักษาความสะอาดของน้ำ
3. รักษาค่าคลอรีนในน้ำ: ค่าคลอรีนในน้ำจะต้องถูกควบคุมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อให้การฆ่าเชื้อโรคมีประสิทธิภาพ โดยต้องตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาจากการมีคลอรีนมากเกินไปหรือน้อยเกินไป

สรุป: สระว่ายน้ำแบบเกลือ vs สระน้ำคลอรีน

การเลือกประเภทของสระว่ายน้ำที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานและความต้องการของคุณเอง:

• หากคุณต้องการสระที่มีการดูแลรักษาง่ายและคุ้มค่า สระน้ำคลอรีน อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เพราะการติดตั้งและบำรุงรักษาง่ายกว่า และสามารถฆ่าเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• หากคุณต้องการน้ำที่อ่อนโยนต่อผิวหนังและไม่ชอบกลิ่นคลอรีน สระว่ายน้ำแบบเกลือ อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากน้ำไม่ทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคืองดวงตา และไม่มีกลิ่นคลอรีน

โดยรวมแล้วทั้งสองประเภทมีข้อดีและข้อเสียที่ต้องพิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคลและการใช้งาน.